ศาลปกครองเพชรบุรีพิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดิน 4 แปลงของเอกชนทำธุรกิจรีสอร์ท บริเวณเขาตะเกียบ จ.ประจวบฯ รุกล้ำถนน-ทางสาธารณะ ให้กรมที่ดินดำเนินการรื้อถอนภายใน 90 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2563 ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 26/2562 คดีหมายเลขแดงที่ 94/2563 ระหว่าง นายสมศักดิ์ เขียวขำ ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ฟ้องคดี อธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี และบริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท วีรันดา รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ผู้ร้องสอด กรณีออกโฉนดที่ดินทับถนนหรือทางสาธารณะบริเวณเขาตะเกียบ ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
โดยคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท วีรันดา รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด (ผู้ร้องสอด) จำนวน 4 แปลง เนื่องจากรุกล้ำแนวเขตถนนลาดยางหรือแนวเขตถนนเดิมหรือทางสาธารณะ บริเวณเขาตะเกียบ อ.หนองแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยให้กรมที่ดินแจ้งรังวัดแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 รายเพื่อดำเนินการแก้ไข และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เพื่อคืนที่ดินดังกล่าวแก่สาธารณะ ภายใน 90 วัน
สำหรับคดีดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้งหกฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) รังวัดออกโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รุกล้ำหรือทับทางสาธารณะบริเวณเลียบชายหาดทะเลหัวหินหรือชายหาดสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และทางสาธารณะเลียบเชิงเขาตะเกียบด้านทิศตะวันตกของเขาตะเกียบที่ชาวบ้านและชาวประมงใช้สัญจรมาเป็นเวลานาน ทางสาธารณะจะอยู่เลียบชายหาดหัวหินด้านทิศเหนือของเขาตะเกียบ และยาวเลียบชายเขาตะเกียบไปทางทิศใต้ ต่อมาพัฒนาเป็นถนนลาดยางกว้าง 8 เมตร เริ่มจากบริเวณที่ติดกับเชิงเขาตะเกียบด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้จดถนนบริเวณปากคลองตะเกียบระยะทางประมาณ 400 เมตร ทางสาธารณะที่เคยมีอยู่เดิม ทั้งที่อยู่เลียบชายหาดหัวหินด้านทิศเหนือของเขาตะเกียบ และส่วนต่อเนื่องที่ยาวจากชายหาดไปทางทิศใต้มีมานานและปรากฏอยู่ตามหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศเป็นทางสีขาวยาวจากริมชายหาดหัวหินด้านทิศเหนือเขาตะเกียบ และยาวเลียบชายเขาตะเกียบไปทางด้านทิศใต้บริเวณด้านตะวันตกของเขาตะเกียบ ซึ่งมีอยู่ก่อนออกโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 เมื่อมีการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 ออกเป็น 5 แปลงย่อย และกันที่ดินส่วนที่เคยเป็นทางสาธารณะถัดจากถนนเลียบชายหาดเดิม เฉพาะส่วนที่เชื่อมต่อกับชายหาดเข้าไปด้านในแผ่นดินให้เป็นโฉนดที่ดินตามเลขที่ดิน 622 และเลขที่ดิน 625 ทำให้ทางสาธารณะส่วนที่อยู่เลียบชายหาดหายไปทั้งหมด รวมทั้งส่วนที่เป็นถนนลาดยางถัดไปถูกรุกล้ำจนแคบ
ผู้ฟ้องคดีและชาวบ้านร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้รับหนังสือชี้แจงจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ว่าชายเขาตะเกียบด้านตะวันตกส่วนที่ออกเป็นโฉนดที่ดินรุกล้ำมีทางสาธารณะ และปัจจุบันเจ้าของที่ดินก่อสร้างกำแพงถาวรล้ำส่วนที่ยังมีสภาพเป็นถนนลาดยางให้แคบไปทางทิศเหนือ รถไม่สามารถวิ่งผ่านได้ ผู้ฟ้องคดีทั้งหกจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 เลขที่ดิน 516 หรือ 621 เลขที่ดิน 624 และเลขที่ดิน 623 ให้ถอยร่นเข้าไปในแปลงที่ดินเพื่อกันเป็นเขตทางสาธารณะ กว้าง 8 เมตร ตลอดแนวเช่นเดิม และเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ดิน 622 และ 625 ที่ออกทับทางสาธารณะเต็มแปลง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” เลขที่ 866 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระบุแนวเขตไว้ชัดเจนว่า ทิศตะวันออกจดทางสาธารณประโยชน์ และทิศเหนือจดทางสาธารณประโยชน์ สอดคล้องกับรูปแผนที่จำลองของที่ดินแนบท้ายตราจอง ที่ระบุชัดเจนว่า แนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออกทั้งหมด ติดกับทางสาธารณประโยชน์ ที่เชื่อมต่อเป็นถนนหรือทางสาธารณะสายเดียวกันไปตลอดแนวที่ดินทั้งสองด้าน ไม่มีส่วนใดของที่ดินด้านทิศตะวันออกที่ระบุว่าติดชายหาดทะเล หรือติดเขาตะเกียบเลย
และตามรายงานการวิเคราะห์การใช้ประโยชน์ที่ดินจากภาพถ่ายทางอากาศ ฉบับเดือนมกราคม 2546 ซึ่งได้อ่าน แปลความ วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศของที่ดินพิพาทและที่ดินริมคลองตะเกียบ เมื่อปี พ.ศ. 2519 ก่อนเปลี่ยนตราจองเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 ปรากฏให้เห็นชัดเจนว่าเป็นถนนหรือทางสาธารณะในลักษณะที่เป็นเส้นสีขาวต่อเนื่องกันจากแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินแปลงพิพาท เชื่อมต่อไปตามแนวเขตด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินตลอดแนว และเชื่อมต่อขึ้นไปยังวัดเขาตะเกียบ ในลักษณะเป็นทางสาธารณะสายเดียวกันต่อเนื่องกันอย่างไม่ถูกตัดตอนจากกัน
สอดคล้องกับรายงานผลการตรวจสอบของเทศบาลเมืองหัวหิน ที่สรุปว่าทางสาธารณะที่พิพาทเดิมเป็นทางเดินเท้าผิวหน้าดินที่คั่นอยู่ระหว่างคลองตะเกียบและแปลงที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 กับภูเขาตะเกียบ ตลอดตามแนวยาวของแปลงที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดิน ซึ่งเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้สัญจรต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานล้วนแสดงให้เห็นชัดเจนว่าที่ดินแปลงพิพาทของผู้ร้องสอด เมื่อครั้งที่เป็นที่ดินตราจอง แนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดิน จะติดกับถนนหรือทางสาธารณะตลอดแนว ไม่มีส่วนใดของแปลงที่ดินติดชายหาดทะเลหัวหินหรือชายหาดทะเลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชบริเวณด้านเหนือของเขาตะเกียบ และไม่มีส่วนใดของแปลงที่ดินติดพื้นที่เขาตะเกียบโดยไม่มีถนนหรือทางสาธารณะกั้นอยู่
แต่เมื่อเปลี่ยนตราจองเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 ทำให้แนวทางสาธารณะสูญหายไปจากหลักฐานโฉนดที่ดินทั้งหมด และมีการระบุแนวเขตด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินที่ต่อจากชายหาดทะเลในหลักฐานโฉนดที่ดินใหม่ เป็นติดกับพื้นที่เขาตะเกียบทั้งหมด ไม่มีแนวทางสาธารณะตามที่ปรากฏอยู่ในตราจองอีก โดยแนวทางสาธารณะที่หายไป ปัจจุบันเป็นแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 80321 ซึ่งตามรายงานผลการรังวัดแนวเขตตามโฉนดที่ดินของผู้ร้องสอด อยู่ลึกเข้าไปกินเนื้อที่ของถนนลาดยาง ทำให้บางส่วนของผิวจราจรถนนลาดยางทับซ้อนเข้าไปในเขตหลักหมุดที่ดิน ประมาณ 1.50 – 2.00 เมตร
แสดงให้เห็นว่าการรังวัดเพื่อเปลี่ยนตราจองเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 มีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินให้ติดชายหาดทะเลและติดพื้นที่เขาตะเกียบแทน ทำให้ทางสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 81256 และทำให้ทางสาธารณะที่ต่อจากชายหาดทะเลเข้าไปกั้นระหว่างแปลงที่ดินพิพาทกับพื้นที่เขาตะเกียบสูญหายไปทั้งหมด โดยทำให้ถนนหรือทางสาธารณะเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 81254 เต็มแปลง และเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 82765 เต็มแปลง ทำให้แนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 80321 รุกล้ำทางสาธารณะที่เป็นทางลาดยางปัจจุบันตลอดแนวด้วย การรังวัดเพื่อเปลี่ยนตราจองเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 9155 ทำให้ถนนหรือทางสาธารณะที่เคยมีอยู่กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาท เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้โฉนดที่ดินของผู้ร้องสอดที่แบ่งแยกจากที่ดินแปลงดังกล่าวทุกฉบับ ในส่วนที่เคยเป็นถนนหรือทางสาธารณะที่ติดกับแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินตลอดแนว ในส่วนที่เป็นพื้นที่ของโฉนดที่ดินแต่ละฉบับ เป็นโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองเพชรบุรีจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินของผู้ร้องสอด ดังนี้ (1) โฉนดที่ดินเลขที่ 81256 เฉพาะส่วนที่เป็นพื้นที่แนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออก กว้าง 5 เมตร ที่ติดกับแนวชายหาดทะเล ของแปลงที่ดินดังกล่าวตลอดแนว (2) โฉนดที่ดินเลขที่ 81254 เต็มแปลง (3) โฉนดที่ดินเลขที่ 82765 เต็มแปลง และ (4) โฉนดที่ดินเลขที่ 80321 ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะส่วนที่รุกล้ำหรือทับซ้อนกับแนวเขตถนนลาดยางหรือแนวเขตถนนเดิม ตามแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินตลอดแนว เพื่อให้ถนนลาดยางหรือถนนเดิมมีความกว้าง 5 เมตร ตลอดแนวเขตที่ดินดังกล่าวดังเดิม และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรังวัดกันเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของแปลงที่ดินผู้ร้องสอด เพื่อถอยร่นเข้าไปในแปลงที่ดินของผู้ร้องสอด ให้เป็นถนนหรือทางสาธารณะตามผลการเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว
โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกเข้าร่วมสังเกต รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) แจ้งกำหนดนัดการรังวัดพร้อมส่งสำเนาคำพิพากษาให้เทศบาลเมืองหัวหิน สำนักงานเจ้าท่าที่รับผิดชอบในพื้นที่ นายอำเภอหัวหิน ผู้ปกครองท้องที่ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ส่งตัวแทนเข้าร่วมดำเนินการ จากนั้นเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ ให้ส่งมอบแนวเขตถนนหรือทางสาธารณะตามผลการรังวัดกันเขตดังกล่าวให้แก่เทศบาลเมืองหัวหิน เพื่อให้เทศบาลเมืองหัวหินเข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางสาธารณะ และทำการก่อสร้างปรับปรุงให้เป็นถนนสาธารณะดังเดิมต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/