“...นอกจากนี้ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ปัจจุบันมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวมิได้มีอยู่ในอดีต อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ศาลรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 74 ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3…”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้วว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง วินิจฉัยให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการโหวตร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวใหม่ ในวาระที่ 2 (พิจารณารายมาตรา) และวาระที่ 3 (พิจารณาทั้งฉบับ) นั้น (อ่านประกอบ : เปิดชื่อตุลาการศาล รธน.ลงมติ 5:4 ร่าง พ.ร.บ.งบฯไม่โมฆะ-ให้โหวตใหม่วาระ 2-3)
เมื่อเวลาประมาณ 15.50 น. ศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่เอกสารข่าวถึงเหตุผลในการวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 สำนักข่าวอิศรา สรุปรายละเอียดมานำเสนอ ดังนี้
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คดีนี้ไม่มีประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อความหรือเนื้อหาสาระของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แต่อย่างใด ทั้งไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญา หรือทางจริยธรรมของ ส.ส. คนใด คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับผิดโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
@เสียงข้างมากปมเสียบบัตรแทนกันไม่สุจริต
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก (*5 ต่อ 4 เสียง) ว่า การกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรคสาม และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 80 วรรคสาม
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2563 เวลาประมาณ 19.30 น.-11 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฏการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ทั้งที่นายฉลองรับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่ ส.ส. มิได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่ามีการใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 ในวันและเวลาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
@ขั้นรับหลักการ-พิจารณาโดย กมธ.ชอบด้วย รธน.
ปัญหาว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-4/2557 หรือไม่
เห็นว่า ประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ คดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เท่านั้น
ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏชัดว่า การพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงลำดับมาตราในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนเสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว
@ชี้เป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าในการเบิกงบ
นอกจากนี้ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้าและอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ปัจจุบันมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวมิได้มีอยู่ในอดีต
@สั่งโหวตใหม่วาระ 2-3 ขีดเส้นสภาฯปฏิบัติตามใน 30 วัน
อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ศาลรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 74 ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ แต่การพิจารณาลงมติในวาระที่หนึ่ง และในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ก่อนนำเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาออกเสียงลงมติเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปก่อนที่จะมีการกระทำอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงเป็นขั้นตอนที่ชอบและมีผลสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญแล้ว จากนั้นเสนอร่างให้ พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 2563 ที่แก้ไขให้ถูกต้องดังกล่าว ให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันนับแต่ศาลมีคำวินิจฉัย
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในปี 2556-2557 ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยกรณีนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย มีพฤติการณ์เสียบบัตรแทนกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ 2 ล้านล้านบาท และระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายนริศรมีความผิด ถือเป็นการทุจริต และให้ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ 2 ล้านล้านบาท และร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ร่างดังกล่าวตกไป
อ่านประกอบ :
เปิดชื่อตุลาการศาล รธน.ลงมติ 5:4 ร่าง พ.ร.บ.งบฯไม่โมฆะ-ให้โหวตใหม่วาระ 2-3
อีกคดี!ปมเสียบบัตรแทนแก้ที่มา ส.ว. ปี 56-ศาล รธน.สั่งโมฆะ วัดบรรทัดฐานการเมืองไทย?
‘ศรีสุวรรณ’ร้อง ป.ป.ช.สอบ ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน อาจเข้าข่ายทุจริต-ขัดกันแห่งผล ปย.
คำร้อง ปธ.สภาฯถึงศาล รธน.แล้ว! ขอให้วินิจฉัยปม 4 ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน
เทียบยุคก่อนไม่ได้! ปธ.ป.ป.ช.ชี้ปมเสียบบัตรแทนข้อเท็จจริงอาจต่างกัน-แบะท่ารอรับคำร้อง
90 ส.ส.ชง ปธ.สภาฯส่งศาล รธน.วินิจฉัยปมเสียบบัตรแทนกันตอนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ
ล้วงคำวินิจฉัยศาล รธน.ปม ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน-ผ่าน 7 ปีเกิดขึ้นซ้ำรอดูบรรทัดฐาน?
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/