"...จะครอบครัวของผมหรือนายกรัฐมนตรีหรือคนที่มีที่ดินแถวเขาใหญ่ก็ดี เราเป็นคนกรุงเทพฯ คนที่พาเดินชมและแนะนำที่ดินส่วนใหญ่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. ส่วนการตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อมาลงทุน สิ่งที่เรายึดถือมีสิ่งเดียว เราเป็นคนนอก และ ณ ตอนนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเป็นนักลงทุนธรรมดา ครอบครัวก็พอมีทุนบ้าง อยากไปดูว่าจะลงทุนอย่างไร ก็เห็นว่าที่ดินน่าลงทุน เจ้าของเขามีโฉนดเวลาที่ขายก็ยกโฉนดขาย ตอนนั้นราคาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญ คือ เวลาเราเปลี่ยนมือการครอบครองที่ดิน ไม่ได้เป็นสัญญาระหว่างคนสองคน ต้องมีตัวกลาง คือ กรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดิน..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงเมื่อถูกพาดพิง เมื่อนายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568 ในประเด็นการได้มาที่ดินของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกล่าวถึงที่ดินของสนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ ของครอบครัวนายอนุทิน
นายอนุทิน กล่าวชี้แจงว่า ขอชื่นชมท่านผู้อภิปรายที่ช่วยโฆษณาโครงการที่เขาใหญ่ ท่านอภิปรายตรงกลางแต่ไม่ได้อภิปรายตรงจุดเริ่มต้น จะครอบครัวของผมหรือนายกรัฐมนตรีหรือคนที่มีที่ดินแถวเขาใหญ่ก็ดี เราเป็นคนกรุงเทพฯ คนที่พาเดินชมและแนะนำที่ดินส่วนใหญ่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. ส่วนการตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อมาลงทุน สิ่งที่เรายึดถือมีสิ่งเดียว เราเป็นคนนอก และ ณ ตอนนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเป็นนักลงทุนธรรมดา ครอบครัวก็พอมีทุนบ้าง อยากไปดูว่าจะลงทุนอย่างไร ก็เห็นว่าที่ดินน่าลงทุน เจ้าของเขามีโฉนดเวลาที่ขายก็ยกโฉนดขาย ตอนนั้นราคาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญ คือ เวลาเราเปลี่ยนมือการครอบครองที่ดิน ไม่ได้เป็นสัญญาระหว่างคนสองคน ต้องมีตัวกลาง คือ กรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดิน
"เมื่อมีการตกลงซื้อขายก็ไปที่กรมที่ดินให้เขาแสตมป์โฉนด โอน เก็บค่าธรรมเนียม จ่ายค่าที่ดิน กระบวนการทั้งหมดทำโดยเจตนาสุจริตทั้งสิ้น ผมก็ได้ถามผู้ใหญ่หลายคนที่รู้เรื่องโครงการเทมส์ วัลลีย์ การได้มาของที่ดินก็คล้ายคลึงกัน ดังนั้นการที่ท่านบอกว่าเจ้าของปัจจุบันถือครองโฉนด แล้วเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ผมขอกราบเรียนว่าไม่เป็นความจริง เราซื้อมาโดยสุจริตทั้งสิ้น มีตราครุฑ มีสำนักงานที่ดินเป็นผู้ประทับรับโอน เมื่อมีการไปตรวจสอบโดยนักการเมืองท่านหนึ่ง ท่านก็ยังไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบที่ดินแปลงนั้นเพราะรู้ว่ายังเป็นโฉนดอยู่ แต่ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวจะไปตรวจว่าเป็น สปก. หรือไม่ หรือเป็น นส.3 ก. หรือที่นิคมฯหรือไม่ ซึ่งคนตรวจสอบเท่านั้นและเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้นที่จะทราบ พวกผมไม่มีทางทราบได้" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า "อย่างที่ท่านบอกว่าถ้าตรวจสอบแล้วผิด ถ้าเขาจำเป็นต้องเพิกถอนก็ต้องเพิกถอน เราทำตามกฎหมายอยู่แล้ว ยินดีที่จะทำตามกฎหมาย เพิกถอนไปเราก็ใช้สิทธิ์เหมือนกรณีของที่ดินอัลไพน์ ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าเพิกถอนไปแล้ว แล้วเจ้าของได้มาโดยสุจริตก็มีสิทธิ์ไปเรียกร้องค่าเสียหายได้ กรณีของเขาใหญ่ก็เช่นกัน ที่ท่านบอกว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ใหญ่กว่าเท่านั้นถึงจะมาตรวจสอบได้ ผมคิดว่าเป็นใครก็แล้วแต่ ตอนนี้เป็นนายกฯก็ใหญ่ที่สุดก็โดนตรวจสอบแล้ว ฉะนั้นขึ้นอยู่กับการตรวจสอบ ถ้าตรวจแล้วถูกต้องก็ต้องให้ความเป็นธรรม ถ้าตรวจแล้วไม่ถูกก็ต้องเพิกถอน เป็นเรื่องปกติ แต่อย่าย้ำเรื่องนี้มาก เพราะท่านได้ทำลายบรรยากาศการลงทุนของธุรกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เขาใหญ่โดยสิ้นเชิง ใครที่มัดจำไว้ก็ทิ้งมัดจำ ใครจะซื้อก็ไม่ซื้อแล้ว คนที่เดือดร้อนที่สุด คือ ประชาชน ที่ท่านพูดมาเรายินดีให้ตรวจสอบ แล้วก็ยินดีน้อมรับการตรวจสอบที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าเป็นไปเช่นนั้นก็ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย อย่าเพิ่งไปกล่าวหาว่าตรงนี้เป็นการกระทำผิดกฎหมาย เพราะการได้มาได้มาด้วยวิธีการสุจริต เสียค่าธรรมเนียม เสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามกฎหมาย"