ปมนิติกรรมตั๋ว PN 'แพทองธาร' หลังอภิปราย ฝ่ายค้านจะยื่นศาล รธน.หรือส่ง ป.ป.ช.?

เขียนวันที่

วันอังคาร ที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 12:09 น.

เขียนโดย

นิรชน ชัยธรรม

Hits

614 views

pisddsnnneeee25 3 68

"...ถ้าฝ่ายค้านจะชกให้สุดหมัดจะต้องรวบรวมเรื่องที่อภิปรายครั้งนี้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เคยมีผู้ร้องเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่เห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี หรือเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่เรื่องยังไปไม่ถึงศาล โดยใช้สิทธิของ สส. ตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญได้โดยเร็ว..."

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยพรรคประชาชนแกนนำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

ประเด็นสำคัญที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้อภิปรายตัวตึงของพรรคประชาชนได้ใช้ข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา เปิดการอภิปรายเรื่องสำคัญซึ่งเป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศ คือการรับโอนหุ้น บจก.พี.ที คอร์ปอเรชั่น, บจก.เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์, บจก.เอส ซี ออฟฟิซ พลาซ่า, บจก.เอส ซี เค เอสเทต, บจก.โอ เอ ไอ แมนเนจเม้นท์, บจก.บี.บี.ดี.ดีเวลลอปเม้นท์ และ บจก.โอ เอ ไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ ของนางสาวแพทองธาร โดยส่วนหนึ่งรับโอน เมื่อปี 2559 หรือประมาณ 9 ปี ที่ผ่านมา และอีกส่วนหนึ่งรับโอนเมื่อปี 2566 ซึ่งแสดงอยู่ในรายการด้านทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า เป็นการได้หุ้นมาโดยการรับโอนจากเครือญาติ 5 ราย ด้วยวิธีการซื้อขายกัน

แต่นางสาวแพทองธารยังไม่ได้ชำระเงินค่าซื้อหุ้นจึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ไว้กับผู้ขาย ซึ่งปรากฏอยู่ในรายการด้านหนี้สิน เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 9 ฉบับ จำนวนเงินรวมกว่า 4.4 พันล้านบาท

24032025 pppp

โชว์ภาพอิศรา! ‘วิโรจน์’ เปิดปม ‘แพทองธาร’ รับหุ้น ‘แม่-ญาติ’ 4.4 พันล. ส่อไม่เสียภาษี

picparrrnobf9 1 68

picparrrnobf009 1 68

ในเรื่องนี้ ตัวตึงฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีว่า อาจไม่ใช่เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และอาจเป็นผู้มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (5) เนื่องจากการที่ปรากฏหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนกว่า 4.4 พันล้านบาท ที่แจ้งว่าเป็นหนี้อันเกิดจากการซื้อหุ้นจากเครือญาติซึ่งยังไม่ได้ชำระเงินกัน โดยเป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย และไม่ได้กำหนดว่าจะชำระกันเมื่อใด โดยเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่ระบุระยะเวลาครบกำหนดไว้ อาจเป็นนิติกรรมอำพราง

แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวจะเป็นไปตามหลักกฎหมายในเรื่องเสรีภาพในการทำสัญญา ซึ่งคู่สัญญาจะตกลงทำสัญญากันอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แต่นิติกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา ซึ่งเจตนาจะดูได้จากกรรมหรือการกระทำ รวมทั้งความเป็นมาและที่จะเป็นไปในเรื่องนั้นด้วย

ที่มาแห่งหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ย่อมเกิดขึ้นจากคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายก่อนิติสัมพันธ์กันขึ้น โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว แต่อีกคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ในขณะนั้น จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ให้ในอนาคต เช่น ถ้าเป็นการซื้อขายสิ่งของก็คือผู้ขายได้ชำระหนี้ด้วยการส่งมอบสิ่งของที่ขายให้กับผู้ซื้อแล้ว แต่คู่สัญญาฝ่ายที่เป็นผู้ซื้อยังไม่พร้อมหรือยังไม่ต้องการชำระเงินค่าสิ่งของนั้นในทันที จึงขอติดหนี้คู่สัญญาฝ่ายที่เป็นผู้ขายไว้ก่อน โดยทำหลักฐานที่เป็นสัญญาในลักษณะตั๋วเงินว่าจะชำระหนี้ให้ไว้กับผู้ขาย

โดยทั่ว ๆ ไป ตั๋วสัญญาใช้เงิน จะกำหนดระยะเวลาครบกำหนดของตั๋วไว้ชัดเจน ว่าจะต้องชำระเงินกันภายในระยะเวลากี่วัน ซึ่งมักจะเป็นระยะเวลาที่ไม่ยาวมากนัก เช่น ครบกำหนดชำระเงินภายใน 30 วัน 60 วัน 120 วัน หรือ 180 วัน หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้

แต่เมื่อไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน แล้วจะชำระเงินกันเมื่อใด ตามหลักทั่วไปคือลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนนั้น เมื่อเจ้าหนี้ทวงถามให้ชำระหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้จะทวงถามลูกหนี้เมื่อใดก็ได้ แต่ต้องให้เวลาพอสมควรแก่ลูกหนี้ในการชำระหนี้นั้น

ดังนั้น หนี้จะถึงกำหนดชำระต่อเมื่อครบระยะเวลาที่เจ้าหนี้ให้เวลาพอสมควรแก่ลูกหนี้หลังจากเจ้าหนี้ทวงถามแล้ว ซึ่งหมายความว่าตราบใดที่เจ้าหนี้ยังไม่ทวงถามพร้อมกับให้ระยะเวลาพอสมควรแก่ลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ หนี้ก้อนนั้นก็ไม่มีวันถึงกำหนดชำระตราบนานเท่านาน แต่สิ่งของที่ซื้อขายกันได้ตกเป็นกรรมสิทธิของลูกหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเรียบร้อยไปแล้ว ลูกหนี้ที่ได้สิ่งของมาจะนำสิ่งของนั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนอย่างไรก็เป็นสิทธิของลูกหนี้

การออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการใช้เงินเอาไว้ จึงขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินว่าต้องการจะได้รับเงินจากลูกหนี้เมื่อใด หากไม่ทวงถามก็ย่อมไม่มีการชำระเงินจากลูกหนี้ และหากไม่มีการชำระหนี้จากลูกหนี้ที่เป็นผู้ซื้อตลอดไป นิติกรรมของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจึงเปลี่ยนจากนิติกรรมซื้อขาย เป็นนิติกรรมให้โดยเสน่หา

การจะเปลี่ยนนิติกรรมอย่างหนึ่งเป็นนิติกรรมอีกอย่างหนึ่งจะไม่มีปัญหา หากไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเสียภาษีให้กับรัฐ ถ้ายังคงเป็นนิติกรรมซื้อขาย ผู้ขายซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ย่อมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐเมื่อมีเงินได้จากการขาย แต่หากยังไม่ได้รับเงินก็ยังไม่ต้องเสียภาษี อันเป็นการเสียภาษีตามเกณฑ์เงินสด แต่ถ้านิติกรรมเปลี่ยนจากการซื้อขายเป็นการให้โดยเสน่หา ผู้รับจะต้องเสียภาษีการรับการให้ ในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท กรณีผู้รับไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติในบางสถานะกับผู้ให้ หรือในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท กรณีผู้รับมีความสัมพันธ์เป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส กับผู้ให้

กรณีนางสาวแพทองธาร ได้รับโอนหุ้นมาจากเครือญาติที่ใกล้ชิด โดยแจ้งว่าเป็นการได้มาจากนิติกรรมซื้อขาย แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าซื้อหุ้นให้กับเครือญาติเหล่านั้น ทำให้เครือญาติยังไม่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ ขณะเดียวกันนางสาวแพทองธารก็ไม่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐจากการรับการให้ โดยมีหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าจะมีการชำระเงินในอนาคต คือการออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยไม่กำหนดระยะเวลาการชำระเงิน หากไม่มีการทวงถามจากเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ก็จะไม่มีการชำระเงินกันจริง และก็จะไม่มีการเสียภาษีประเภทใด ๆ ให้กับรัฐ จึงมีแนวโน้มว่า นิติกรรมการซื้อขายหุ้นอันมีตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 9 ฉบับ เป็นหลักฐานสำคัญ จะเป็นนิติกรรมที่อำพรางนิติกรรมที่แท้จริงคือการรับการให้ของนางสาวแพทองธาร ซึ่งจะต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพราง คือจะต้องเรียกเก็บภาษีการรับการให้จากนางสาวแพทองธาร ตั้งแต่เมื่อได้รับการให้ โดยส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 และอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2566

picppllkdsdsdsdsdssddsdssd24 3 68

การกระทำของนางสาวแพทองธารที่ฝ่ายค้านอภิปรายในสภา จึงอาจมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับรัฐจากการรับการให้ ตั้งแต่ปี 2559 และปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ทำให้อาจไม่ใช่เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และเป็นผู้มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5)

หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว ได้ยินว่าฝ่ายค้านจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อไต่สวนและยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาในข้อหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะต้องใช้เวลานานนับปีหรือหลายปี แต่เหตุใดจึงไม่ใช้วิธีการที่จะทำให้ไปถึงศาลได้รวดเร็วกว่า คือการตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีด้วยการเข้าชื่อกันหนึ่งในสิบ หรือประมาณไม่ถึง 50 คน ยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ซึ่งมาตรา 82 บัญญัติให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย โดยไม่ได้ให้อำนาจประธานสภาผู้แทนราษฎรใช้ดุลพินิจอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แตกต่างจากการกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งประธานรัฐสภาจะต้องเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยเสียก่อนจึงจะเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาได้

ถ้าฝ่ายค้านจะชกให้สุดหมัดจะต้องรวบรวมเรื่องที่อภิปรายครั้งนี้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เคยมีผู้ร้องเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่เห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี หรือเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่เรื่องยังไปไม่ถึงศาล โดยใช้สิทธิของ สส. ตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญได้โดยเร็ว

นอกเสียจากว่า พรรคประชาชนยังต้องการทอดไมตรีกับพรรคเพื่อไทย โดยหวังจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล

ข่าวเกี่ยวข้องกับธุรกิจและบัญชีทรัพย์สิน แพทองธารและสามี

เรื่องเกี่ยวข้องกับคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage