เผยมติป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ตีตกคดี 'พรเทพ พงศ์ทวิกร' อดีตผอ.รพ.บ้านแพ้ว เพิ่มกรอบอัตรากำลังไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี -แต่งตั้งอนุมัติเงินประจำตำแหน่งให้คู่สมรสโดยมิชอบ หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่ากระทำความผิด ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ตีตกคดี นายพรเทพ พงศ์ทวิกร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) กรณีกล่าวหา เพิ่มกรอบอัตรากำลังโดยไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งและอนุมัติเงินประจำตำแหน่งให้กับคู่สมรสซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลโดยมิชอบ
หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้น พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่ากระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักงาน ป.ป.ช.ระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิดโดยสรุป ว่า สำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ นร 1208/810 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2560 เรื่อง ขอซักซ้อมการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 แจ้งมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ซึ่งได้มีมติเห็นควรกำหนดให้องค์การมหาชนทุกแห่งปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี โดยไม่เพิ่มอัตรากำลังเกินไปกว่ากรอบอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การมหาชน ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2560) โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ขอให้โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ตรวจสอบข้อมูลอัตรากำลังจำนวน 1,508 อัตรา (บรรจุจริง 1,323 อัตรา) หากมีความคลาดเคลื่อนให้แจ้งให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ ต่อมาปรากฏว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ได้เสนอให้คณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพ้วรับทราบในประชุมครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) มีอัตรากำลังเกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีหนังสือขอให้ตรวจสอบข้อมูล โดยมีอัตรากำลังจำนวน 1,631 อัตรา (ไม่รวมผู้อำนวยการ)
นอกจากนั้น นายพรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ยังได้พิจารณาคัดเลือกและมีคำสั่งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ที่ 58/2561 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 แต่งตั้งนางกานติมน พงศ์ทวิกร (คู่สมรส) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์และพยาบาล โดยได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราเดือนละ 25,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 กำหนดให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นองค์การมหาชนต่อไป โดยไม่ให้มีการเพิ่มกรอบอัตรากำลังอีก คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) จึงได้มีมติให้องค์การมหาชนทุกแห่งปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี โดยไม่เพิ่มอัตรากำลังเกินไปกว่ากรอบอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การมหาชน ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2560) ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว คณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการออกระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป รวมถึงอนุมัติกรอบอัตรากำลังของโรงพยาบาลฯ ตามมาตรา 20 (4) (ก) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว พ.ศ. 2543 ไม่เคยกำหนดกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และโรงพยาบาลฯ ไม่เคยเสนอกรอบอัตรากำลังเพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการโรงพยาบาลฯ ส่วนข้อมูลอัตรากำลัง จำนวน 1,508 อัตรา ที่แจ้งไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. ตามที่มีการสำรวจเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นข้อมูลอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจริง ไม่ใช่กรอบอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการโรงพยาบาลฯ แม้ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้เพิ่มอัตรากำลัง เนื่องจากมีการขยายการให้บริการของโรงพยาบาลฯ เป็นจำนวน 1,631 อัตรา ซึ่งเกินกว่าอัตรากำลังดังกล่าวข้างต้น (123 อัตรา)
แต่ผู้ถูกกล่าวหาได้รายงานข้อเท็จจริงให้คณะกรรมการโรงพยาบาลฯ รับทราบ จนมีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง มีการหารือสำนักงาน ก.พ.ร. รวมทั้งมีการขอเพิ่มอัตรากำลัง ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตอบข้อหารือว่า "โรงพยาบาลฯ อาจเสนอให้ กพม. พิจารณากลั่นกรองกรอบอัตรากำลังใหม่ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี" ซึ่งคณะกรรมการโรงพยาบาลฯ ได้มติเห็นชอบกรอบอัตรากำลังปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2566 จำนวน 1,940 อัตรา และโรงพยาบาลฯ ได้มีหนังสือขอเพิ่มกรอบอัตรากำลังไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) พิจารณากลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 แล้ว
2.เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ได้เปิดทำการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว สาขาสาทร จนกระทั่งสาขาสาทร มีจำนวนผู้เข้ารับบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมทั้งมีแผนในการขยายการให้บริการและพัฒนาระบบการให้บริการอย่างต่อเนื่อง และนายพรเทพฯ (ผู้ถูกกล่าวหา) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จึงได้เสนอปรับโครงสร้างของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) สาขาสาทร ต่อคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้วเพื่อพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (ปัจจุบัน คือ คณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว) ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 วันที่ 23 เมษายน 2561 ได้มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) สาขาสาทร โดยเพิ่มตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล 1 อัตรา ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์และการพยาบาล 1 อัตรา และผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านบริหาร 1 อัตรา หลังจากนั้น นายพรเทพฯ (ผู้ถูกกกล่าวหา) ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาล และผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านทรัพยากรมนุษย์ได้ร่วมกันพิจารณาคัดเลือกเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทั้ง 2 อัตราดังกล่าว โดยได้พิจารณาคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และไม่มีการประกาศรับสมัครเป็นการทั่วไป
ในส่วนของผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์และพยาบาลได้พิจารณาจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบบาลบ้านแพ้ว จำนวน 5 ราย ผลการคัดเลือกปรากฏว่านางกานติมน พงศ์ทวิกร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ทำหน้าที่หัวหน้างานดูแลด้านการพยาบาล สาขาสาทร มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์และการพยาบาล
ส่วนนางสาวเบญจวรรณ ทองคำ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ทำหน้าที่หัวหน้าหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการบริหาร หลังจากนั้น นายพรเทพฯ (ผู้ถูกกล่าวหา) ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ ซึ่งมีอำนาจในการแต่งตั้ง ตามมาตรา 28 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2543 ได้มีคำสั่งที่ 58/2561 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 แต่งตั้งนางกานติมน พงศ์ทวิกร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์และพยาบาล ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราเดือนละ 25,000 บาท ส่วนนางสาวเบญจวรรณ ทองคำ ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราเดือนละ 20,000 บาท ตามบัญชีแนบท้ายข้อบังคับโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2556
ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า จากการไต่สวนเบื้องต้น พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่านายพรเทพ พงศ์ทวิกร ผู้ถูกกล่าวหา ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป