"...นาย ก. แจ้งจําเลยที่ 1 ว่านาย ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร รายหนึ่ง ขณะนั้นแนะนําฝากมารับงานโครงการสัมมนาและศึกษาดูงาน ด้านการพัฒนาชุมชนผ่านนาย ส. สมาชิกสภากรุงเทพมหานครขณะนั้น จําเลยที่ 1 จึงอนุญาตให้บริษัทเจซี ทัวร์ จํากัด โดยนาย ก. เป็นผู้ดําเนินโครงการดังกล่าว โดยให้ไปคุยรายละเอียดกับจําเลยที่ 2 จากนั้นนาย ก. และ นางสาว พ. ไปคุยรายละเอียดโครงการกับจําเลยที่ 2 ที่ห้องทํางาน..."
สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำความผิด นางอัจฉราวดี ชัยสุวิรัตน์ จำเลยที่ 1 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร นายชยุตพงศ์ เปียสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตคลองสาน ที่ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษ จำคุกคนละ 5 ปี ในคดีกล่าวหาเรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้บริษัท เจซีทัวร์ จำกัด ได้เข้าเป็นผู้รับจ้างเหมางานโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชน ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม ป.อ. มาตรา 149 และ มาตรา 157 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบัน พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ) ที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องของอัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะฝ่ายโจทก์ (ฟ้องแทน ป.ป.ช.) มานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ จำเลยทั้งสองอาศัยโอกาสที่ตนมีตําแหน่งอํานาจและหน้าที่ดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบราชการในการดําเนินโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนในปีงบประมาณ 2556 โดยจงใจไม่ปฏิบัติ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 ที่กําหนดห้ามมิให้ผู้มีอํานาจหรือหน้าที่ดําเนินการตามข้อบัญญัตินี้ หรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทําการใดโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามข้อบัญญัตินี้ หรือกระทําการโดยมีเจตนาทุจริตหรือกระทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือนอกเหนืออํานาจหน้าที่ รวมทั้งมีพฤติการณ์ที่เอื้ออํานวยแก่ผู้เข้าเสนอราคาหรือเสนองาน ทั้ง ๆ ที่ในการจัดโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชน ในปีที่ผ่าน ๆ มา สํานักงานเขตคลองสาน เป็นผู้ดําเนินโครงการเองทั้งหมด รวมทั้งอาหาร อาหารว่าง และเครื่องดื่ม และที่พัก
แต่ในปีงบประมาณ 2556 สํานักงานเขตคลองสาน กลับไม่ได้ดําเนินการเองเหมือนปีที่ผ่านมา โดยดําเนินการโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนของ สํานักงานเขตคลองสาน ปีงบประมาณ 2556
จําเลยทั้งสองตกลงให้ นาย ก. เจ้าหน้าที่บริษัทเจซี ทัวร์ จํากัด เข้ามาเป็นผู้ประสานงานดําเนินโครงการเพื่อประสานในส่วนของค่าอาหาร อาหารว่าง และเครื่องดื่ม และที่พัก โดยเรียกรับเงินจํานวน 15 เปอร์เซ็นต์ แบ่งจ่ายสองครั้ง ก่อนที่จะไปขอเพิ่มอีก 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงมีการยกเลิกงานโครงการฯ ในเวลาต่อมา
- คุกคนละ 5 ปี! อดีตผอ.เขตคลองสาน กทม.- พวก เรียกสินบนจ้างจัดสัมมนาดูงาน
- พลิกปูม! คดีอดีต ผอ.เขตคลองสาน - พวก เรียกสินบน 3.5 แสน โดนคุกคนละ 5 ปี
- ขอ15%-แบ่งจ่าย2ครั้ง! พฤติการณ์ อดีต ผอ.เขตคลองสาน-พวก คดีเรียกสินบน โดนคุกคนละ 5 ปี (1)
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดการพิจารณาพยานเอกสารหลักฐานในคดีนี้ ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ก่อนจะมีคำพิพากษาตัดสินลงโทษ จำคุก คนละ 5 ปี นางอัจฉราวดี ชัยสุวิรัตน์ และ นายชยุตพงศ์ เปียสวัสดิ์ โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ นาย ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และ นาย ส. สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในขณะนั้น ถูกระบุว่าเป็นผู้ดำเนินการฝาก ให้บริษัท เจซีทัวร์ จำกัด เข้ามาเป็นผู้ประสานงานดําเนินโครงการเพื่อประสานในส่วนของค่าอาหาร อาหารว่าง และเครื่องดื่ม และที่พัก ด้วย
ก่อนที่จะเกิดปัญหาการเรียกรับเงินจํานวน 15 เปอร์เซ็นต์ และมีการไปขอเรียกเพิ่มอีก 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงมีการยกเลิกงานโครงการฯ ในเวลาต่อมา
ปรากฏรายละเอียดดังนี้
@ ข้อเท็จจริงเบื้องต้น
ในคำพิพากษา ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ระบุว่า จากการพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ได้ความตามทางพิจารณาแล้ว
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ปีงบประมาณ 2556 ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สํานักงานเขตคลองสาน จัดทําโครงการค่าใช้จ่ายในการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนจํานวน 10 รุ่น รุ่นละ 180 คน รวมทั้งสิ้น 1,800 คน มีระยะเวลาดําเนินการในรุ่นที่ 9 วันที่ 15-16 มีนาคม 2556 รุ่นที่ 2 วันที่ 22-23 มีนาคม 2556 รุ่นที่ 3 วันที่ 9-10 เมษายน 2556 รุ่นที่ 4วันที่ 19-20 เมษายน 2556 รุ่นที่ 5 วันที่ 26-27 เมษายน 2556 รุ่นที่ 6 วันที่ 3-4 พฤษภาคม 2556 รุ่นที่ 7 วันที่ 17-18 พฤษภาคม 2556 รุ่นที่ 8 วันที่ 24-25 พฤษภาคม 2556 รุ่นที่ 9 วันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2556 และรุ่นที่ 10 วันที่ 7-8 มิถุนายน 2556
โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2556 แผนงานพัฒนาชุมชน งานพัฒนาชุมชน หมวดรายจ่ายอื่น รายการค่าโครงการใช้จ่ายการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชน รวมเงินทั้งสิ้น 5,000,00 บาท เป็นค่าสมนาคุณวิทยากร 252,000 บาท ค่าอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม 2,520,000 บาท ค่าเช่าที่พัก 1,350,000 บาท ค่าจ้างเหมารถยนต์โดยสารปรับอากาศ 872,000 บาท
@ นาย ว. สส. เป็นผู้แจ้งบ.ให้ไปติดต่อรับงานเขตคลองสาน
ต่อมานาย ก. ได้รับคําแนะนําจาก นาย ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล ) ให้ไปติดต่อรับงานกับเขตคลองสาน
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 เวลากลางวัน นาย ก. และ นางสาว พ. จึงไปพบจําเลยที่ 2 ที่ห้องทํางาน แล้วจําเลยที่ 2 พานาย ก. และ นางสาว พ. เข้าพบจําเลยที่ 1
จําเลยที่ 1 ตกลงให้นาย ก. รับเป็นผู้ดําเนินการในส่วนของอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม และค่าที่พักในโครงการทั้งหมด โดยให้ไปคุยรายละเอียดกับจําเลยที่ 2
จากนั้นวันที่ 14 มีนาคม 2556 นาย ก. นําเงิน 355,650 บาท ไปมอบให้จําเลยที่ 2 ที่ห้องฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการ สํานักงานเขตคลองสาน แล้วจําเลยที่ 2 เรียกให้นางสาว ว. ไปนับเงินในห้อง แล้วให้แยกเงินเป็น 2 ซอง
ซองแรกเป็นเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ ซองที่ 2 เป็นเงิน 5 เปอร์เซ็นต์ ใส่รวมในซองใหญ่เดียวกัน
จําเลยที่ 2 ให้นางสาว ว. จัดทําใบแสดงรายละเอียดงบประมาณ โดยนาย ก. ลงชื่อในช่องผู้จ่ายเงิน นางสาว ว. ลงชื่อในช่องผู้รับเงิน
@ ได้ไป 15 % ไม่พอ ขอเพิ่มอีก 5
ครั้นวันที่ 15 มีนาคม 2556 เวลากลางวัน จําเลยที่ 2 โทรศัพท์หานางสาว ว. แจ้งว่าให้ขอรางวัลเพื่อแจกผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่ม 3-5 ชิ้น
นางสาว ว. จึงแจ้งให้นาย ก. ทราบว่า ของรางวัลที่ซื้อเพื่อแจกให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีไม่เพียงพอและขอเงินเพิ่มอีก 5 เปอร์เซ็นต์ รวมเป็น 20 เปอร์เซ็นต์
แต่นาย ก. มิได้จ่ายเงินจํานวน 5 เปอร์เซ็นต์ ตามที่จําเลยที่ 2 ขอ
@ จําเลยทั้งสองกระทําผิดตามฟ้องหรือไม่
คำพิพากษาศาลฯ ระบุว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าจําเลยทั้งสองกระทําผิดตามฟ้องหรือไม่
นาย ก. ตอบศาลถามว่า หลังจากจําเลยที่ 2 พาไปแนะนําตัวกับจําเลยที่ 1 แล้วจําเลยที่ 1 บอกให้ไปคุยรายละเอียดกับจําเลยที่ 2
เมื่อคุยรายละเอียดโครงการแล้วจําเลยที่ 2 ได้เรียกเงิน จํานวน 15 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่เบิกจ่ายจากทางราชการ อ้างว่าเป็นค่าซื้อของขวัญให้ชาวบ้านและใช้ดูแลเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินโครงการ
เหตุการณ์ช่วงนี้พยานขยายความในบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงว่า หลังจากพูดคุยกับจําเลยที่ 2 เกี่ยวกับรายละเอียดการจัดโครงการเสร็จแล้ว จําเลยที่ 2 เรียกเงิน จํานวน 15 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่เบิกจ่ายจากทางราชการ
โดยแบ่งจ่ายครั้งละ 5 รุ่น อ้างว่าเป็นค่าซื้อของขวัญให้ชาวบ้านและใช้ดูแลคณะเจ้าหน้าที่ในการดําเนินโครงการ พยานเข้าใจว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ต้องจ่ายเป็นการตอบแทนแก่จำเลยที่ 1 เพื่อจะได้รับดาเนินการโครงการนี้
จําเลยที่ 2 แจ้งให้นําเงินไปมอบก่อนเริ่มโครงการ พยานเห็นว่าพอมีกําไรอยู่บ้างจึงตกลงให้เงินตามที่ถูกเรียก
ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2556 ช่วงเช้า พยานและนางสาว พ. นําเงิน 355,650 บาท ใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลไปมอบให้จําเลยที่ 1 ที่ห้องทํางาน แล้วจําเลยที่ 2 เรียกให้นางสาว ว. มานับเงินและลงลายมือชื่อรับเงินในช่องผู้รับเงินของเอกสารรายละเอียดงบประมาณดังกล่าว ซึ่งในประเด็นนี้สอดคล้องกับบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงของนางสาว ว. พยานที่โจทก์อ้าง และยังยืนยันอีกตอนหนึ่งว่าเงิน 15 เปอร์เซ็นต์ จํานวน 355,650 บาท ทราบว่าส่วนหนึ่งนําไปซื้อของรางวัลเพื่อแจกให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจํานวน 10 ชิ้น เป็นเงิน 17,000 บาท
อีกส่วนหนึ่งเป็นค่าภาษีนําจ่ายจํานวน 1 เปอร์เซ็นต์ ของยอดค่าที่พัก และอาหาร เป็นเงิน 7,489.35 บาท เนื่องจากหากไม่นําเงินจํานวนนี้ไปจ่ายเป็นค่าของรางวัล และภาษีดังกล่าว จําเลยที่ 2 จะต้องนําเงินส่วนตัวมาจ่ายเอง เงินที่เหลือทั้งหมดจําเลยที่ 2 เป็นผู้รับไปและนําไปมอบให้จําเลยที่ 1 ที่ห้องทํางานของจําเลยที่ 1
แต่ไม่ทราบว่าจําเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับเงินส่วนแบ่งคนละเท่าใด
เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการ เขตคลองสาน จําเลยที่ 2 ดํารงตําแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สํานักงาน เขตคลองสาน
จําเลยทั้งสองจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (16)
เมื่อพิจารณามูลเหตุที่นาย ก. และนางสาว พ. เดินทางไปพบจําเลยที่ 2 ที่สํานักงานเขตคลองสาน เพื่อติดต่อรับงานในโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนดังกล่าว ได้ความจากนาย ก. นางสาว พ. นางสาว ว. และคําชี้แจงของจําเลยทั้งสองที่ยื่นต่อคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นแล้ว ได้ความทํานองเดียวกันว่า
ก่อนเกิดเหตุนาย ก. ได้รับการแนะนําให้ไปติดต่อ รับงานกับสํานักงานเขตคลองสาน นาย ก. และนางสาว พ. จึงไปพบจําเลยที่ 2 ที่ห้องทํางานฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม จากนั้นจําเลยที่ 2 พานาย ก. และนางสาวพ. ไปแนะนําให้รู้จักกับจําเลยที่ 1 ที่ห้องทํางานผู้อํานวยการเขตคลองสาน
โดยจําเลยที่ 2 เรียกให้นางสาว ว. เข้าไปคุยด้วย บอกว่าบุคคลทั้งสองจะมาช่วยประสาน เรื่องการจัดโครงการสัมมนา
นาย ก. แจ้งจําเลยที่ 1 ว่านาย ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร รายหนึ่ง ขณะนั้นแนะนําฝากมารับงานโครงการสัมมนาและศึกษาดูงาน ด้านการพัฒนาชุมชนผ่านนาย ส. สมาชิกสภากรุงเทพมหานครขณะนั้น
จําเลยที่ 1 จึงอนุญาตให้บริษัทเจซี ทัวร์ จํากัด โดยนาย ก. เป็นผู้ดําเนินโครงการดังกล่าว โดยให้ไปคุยรายละเอียดกับจําเลยที่ 2 จากนั้นนาย ก. และ นางสาว พ. ไปคุยรายละเอียดโครงการกับจําเลยที่ 2 ที่ห้องทํางาน
@ ข้อเท็จจริงที่ได้ความฟังได้ว่า
ข้อเท็จจริงที่ได้ความฟังได้ว่า จําเลยทั้งสองยินยอมให้บริษัทเจซี ทัวร์ จํากัด โดยนาย ก. เป็นผู้รับจ้างเหมาเข้าไปดําเนินโครงการดังกล่าวเฉพาะส่วนของค่าอาหารอาหารว่างและเครื่องดื่ม ค่าเช่าที่พัก และค่าจ้างเหมารถยนต์ ตามรายการและจํานวนเงินที่ระบุใน ใบแสดงรายละเอียดงบประมาณ
โดยจํานวนเงินดังกล่าวเป็นจํานวนเดียวกับที่ นาย ก. นําไปมอบให้จําเลยที่ 2 ซึ่งความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่นั่น ความผิดฐานดังกล่าวเกิดขึ้นสําเร็จเมื่อได้เรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแล้ว
เมื่อได้ความจาก นาย ก. นางสาว พ. ตามบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงกับที่ตอบศาลถามว่า จําเลยที่ 2 เรียกเงินจากนาย ก. เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการได้รับเหมาจ้างงานตามโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนดังกล่าว
ประกอบกับจําเลยทั้งสองได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการอํานวยการโครงการสัมมนาและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชนของสํานักงานเขตคลองสาน ประจําปีงบประมาณ 2556 ตามคําสั่งสํานักงานเขตคลองสาน ที่ 75/2556 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2556 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการ เจ้าหน้าที่ดําเนินการ คณะกรรมการรับส่งและเก็บรักษาเงินโครงการค่าใช้จ่ายในการสัมมนาศึกษาดูงานด้านการพัฒนาชุมชน
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจําเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นกับการกระทําของจําเลยที่ 2 ที่เรียกรับเงินจากนาย ก. 15 เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากทางราชการในส่วนค่าอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม ค่าเช่าที่พัก และค่าจ้างเหมารถยนต์
การกระทําของจําเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
****************
ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่จบ ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับคลิปเสียงบทสนทนาการเรียกรับเงินที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดีด้วย
รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามตอนต่อไป
อนึ่ง สำหรับคดีนี้ ปรากฏรายชื่อผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย คือ นางอัจฉราวดี ชัยสุวิรัตน์ , นายชยุตพงศ์ เปียสวัสดิ์ คดียังไม่สิ้นสุด จำเลยทั้งสอง มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
ส่วนนาย ว. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และ นาย ส. สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในขณะนั้น ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ดำเนินการฝาก ให้บริษัท เจซีทัวร์ จำกัด เข้ามาเป็นผู้ประสานงานดําเนินโครงการเพื่อประสานในส่วนของค่าอาหาร อาหารว่าง และเครื่องดื่ม และที่พัก ไม่ได้ปรากฏชื่อเป็นจำเลย ร่วมกระทำความผิดแต่อย่างใด
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา อยู่ระหว่างการติดต่อบุคคลทั้งสอง เพื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
หากได้รับคำชี้แจงแล้ว จะรีบนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป