"...ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีตัวละครคือ นายปกรณ์ เนตรประภา เป็นกรรมการบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พลอเรอร์ จำกัด โดยนายปกรณ์มีลักษณะว่าเป็นผู้แทนของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหาร อบจ. จะแสดงตนเป็นตัวแทนของ อบจ. เพื่อประสานงานกับวัดว่า วัดต้องการเงินอุดหนุนจาก อบจ.หรือไม่ เพื่อนำไปก่อสร้างเมรุ หรือศาลากลางเปรียญหรือไม่ จึงดำเนินการจัดทำคำขอ แบบแปลน ให้เจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ลงนาม ..."
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคำแถลงเป็นทางการแล้ว
ในคดีกล่าวหา นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ กับพวก รวม 11 ราย ร่วมกันพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปีงบประมาณ 2554 - 2556 โดยมิชอบ
ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ไปก่อนหน้านี้
- มติเอกฉันท์ผิด ม.157! ป.ป.ช.ชี้มูล 'ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม' คดีเงินอุดหนุนวัดปากน้ำ (1)
- เจาะสำนวนสอบคดีเงินอุดหนุนวัด 835 ล. ป.ป.ช.ฟัน 'ชนม์สวัสดิ์ -พวก' เจ้าตัวยันไม่ได้ทำผิด (2)
- เปิด 20 โครงการ16 วัด 338 ล.ถูกสอบคดี'ชนม์สวัสดิ์'- วัดกลางมากสุด คนรู้เรื่องตายหมดแล้ว (3)
- 'อิศรา' พาไปดูโครงการเงินอุดหนุน 3 วัด คดี'ชนม์สวัสดิ์' ยัน 'บิ๊กอบจ.-บ.' จัดการทุกอย่าง (4)
ทั้งนี้ ในการเปิดแถลงข่าวผลการชี้มูลคดีนี้เป็นทางการ ของ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการระบุถึงพฤติการณ์ตัวละครสำคัญในเรื่อง ที่ปรากฏชื่ออยู่ในกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาด้วย
คือ นาย ปกรณ์ เนตรประภา เจ้าของบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
"ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีตัวละครคือ นายปกรณ์ เนตรประภา เป็นกรรมการบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พลอเรอร์ฯ โดยนายปกรณ์มีลักษณะว่าเป็นผู้แทนของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหาร อบจ. จะแสดงตนเป็นตัวแทนของ อบจ. เพื่อประสานงานกับวัดว่า วัดต้องการเงินอุดหนุนจาก อบจ.หรือไม่ เพื่อนำไปก่อสร้างเมรุ หรือศาลากลางเปรียญหรือไม่ จึงดำเนินการจัดทำคำขอ แบบแปลน ให้เจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ลงนาม
"ซึ่งต่อมาในขั้นตอนรับเงินอุดหนุนเมื่อ อบจ.อนุมัติแล้ว นายปกรณ์ จะแจ้งทางวัดทราบล่วงหน้า เพื่อนัดหมายเจ้าอาวาสรับเช็คเงินอุดหนุน ในวันเดียวกันนายปกรณ์ร่วมเจ้าอาวาสหรือผู้แทนของวัดขึ้นเงิน พร้อมกับเบิกเงิน มอบเงินส่วนหนึ่งให้ปกรณ์ เป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง จากนั้น เอเวอร์กรีน ที่นายปกรณ์เป็นกรรมการ เข้ามารับจ้างโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว" นายนิวัติไชยระบุ
น่าสนใจว่า สถานะปัจจุบันบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไปแล้ว ในช่วงเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 10 กันยายน 2545 ทุน 3,000,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 227/10 หมู่ 2 ตำบลดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
แจ้งประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตเตาฌาปนกิจ
กรรมการผู้มีอำนาจ คือ นาย ปกรณ์ เนตรประภา ณ 30 เมษายน 2556 นาย ปกรณ์ เนตรประภา และนาง ศิริพักตร์ เนตรประภา ถือหุ้นใหญ่เท่ากัน 49.8233% มูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ 1,494,700 บาท หุ้นที่เหลืออยู่ในชื่อ นาย ไพศาลศิลป์ จูเอี่ยม นาง ธนพร พูลมา นางสาว สุจิตรา สถาพรธนสาร นางสาว ศิวะพร พูลมา นาย บุญชอบ น้อยบางยาง นาย ไพบูลย์ บู่สามสาย นาย พรศักดิ์ ผลอินทร์
นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ 31 ธันวาคม 2555 แจ้งว่ามีรายได้จากการขายและบริการ - สุทธิ 16,596,729 บาท ต้นทุนขาย และ/หรือบริการ 15,338,998.35 บาท กำไรสุทธิ 106,643.80 บาท
ในฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.2403/2565 ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2565
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือน ส.ค.2556 สำนักข่าวอิศรา เคยตรวจสอบหลักฐานใบเสร็จการว่าจ้างงานก่อสร้างของวัด ที่สตง. ได้รับจากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลงานก่อสร้างตามวัดต่างๆในจังหวัดสมุทรปราการ ในกรณีนี้ พบว่า บริษัท เอเวอร์ กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นหนึ่งในผู้รับเหมา ที่ปรากฎ ชื่อเข้าไปรับจ้างงานก่อสร้างของวัด ที่ได้รับงบอุดหนุนจาก อบจ.สมุทรปรากการ
โดยเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 นายปกรณ์ เนตรประภา กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอเวอร์ กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้สัมภาษณ์ยืนยัน สำนักข่าวอิศรา ว่า บริษัท เอเวอร์ กรีนฯ เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาที่เข้าไปรับจ้างก่อสร้างงานตามวัดต่างๆ ที่ได้รับงบอุดหนุนจาก อบต.สมุทรปราการจริง แต่ยืนยันว่าบริษัทฯ ไม่ได้มีเส้นสายในอบจ. ถึงทำให้ได้รับงานเหล่านี้
“ บริษัทของผม เป็นที่รู้จักของวัดทั่วไป ไปถามใครดูก็ได้ เพราะเราเข้าไปรับงานก่อสร้างตามวัดต่างๆ มานานกว่า 20 ปี โดยในส่วนงานก่อสร้างต่างๆ ที่วัดได้รับงบอุดหนุนจากอบจ.สมุทรปราการครั้งนี้ ก็เป็นการให้สิทธิแก่วัดในการจัดหาผู้รับเหมาโดยตรงเข้ามาทำงานให้ วัดหลายแห่งก็ติดต่อมาที่บริษัทผมให้เข้าไปทำงานให้ ผมก็เข้าไปทำงานให้ขั้นตอนมันก็มีแค่นี้”
อย่างไรก็ตาม นายปกรณ์ ปฏิเสธว่า จำรายละเอียดจำนวนงานและวัด ที่บริษัทฯ ของตน เข้าไปรับงานก่อสร้างไม่ได้ เนื่องจากเข้าไปรับงานตั้งแต่ปี 2555 ขอกลับไปตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งหนึ่งก่อน ถึงจะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้
ส่วนกรณีที่มีการระบุข้อมูลว่างานก่อสร้างของวัดหลายแห่ง มีความล่าช้า นั้น นายปกรณ์ ระบุว่า “ผมยอมรับว่าในขั้นตอนการทำงานอาจมีความล่าช้าเกิดขึ้นบาง เนื่องจากในระหว่างการทำงานมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในขั้นตอนงานก่อสร้างทั่วไป แต่ปัจจุบันงานก่อสร้างก็มีความคืบหน้าไปมาก พูดได้ว่าเกือบจะเสร็จหมดแล้ว ”
นายปกรณ์ ยังกล่าวยืนยันว่า "ตามหลักการว่าจ้างงาน โดยใช้งบอุดหนุนท้องถิ่น เขามีการระบุเงื่อนไขอยู่แล้วว่า ถ้าทำงานไม่เสร็จภายในเวลา 2 ปี จะต้องถูกเรียกเงินคืน ซึ่งในส่วนของงานก่อสร้างตามวัดที่บริษัทผมเข้าไปรับ ผมยอมรับว่ามันอาจจะมีปัญหาความล่าช้าเกิดขึ้นบาง แต่มันไม่ถึงขั้นถูกทิ้งร้างอะไร งานมันก็ทำอยู่ของมันตามปกติ ถ้าผมทิ้งงานไปเลย แบบนั้น ใครจะมาว่าอะไรผมๆ ก็ยอมรับ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ งานก็ทำกันอยู่ และตอนนี้มันก็เกือบจะเสร็จหมดแล้ว”
เมื่อถามว่า จริงหรือไม่ ที่ทางวัดต้องจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าถึง 50% ให้กับผู้รับเหมาในวันทำสัญญาจ้าง นายปกรณ์ กล่าวว่า “บริษัทฯ ผมเข้าไปทำงานให้กับวัดก่อนหน้าที่จะได้รับอนุมัติเงินนานแล้ว เพราะเราทำงานให้แบบเทิร์นคีย์ ตั้งแต่ออกแบบไปจนถึงก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปรับงานแล้ว ไม่ใช่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง เมื่อวัดได้งบมาเราก็ไปรับเงินจากเขา มันก็เป็นเรื่องปกติ”
นายปกรณ์ ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า โดยปกติวัดจะทำแบบนี้กันหมด ไม่ว่าจะใช้งบของส่วนราชการ หรืองบจากเงินบริจาคของวัดเอง คือ ให้ผู้รับเหมาเข้าไปทำงานให้ก่อน เมื่อทำงานไปได้สักระยะก็จ่ายเงินให้ การจ่ายเงินล่วงหน้า 50 % ในวันทำสัญญาว่าจ้างจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และในข้อเท็จจริงแล้ว ราคางานว่าจ้างที่ทำไปก่อนจะมีการทำสัญญาจ้างบางวัดก็สูงมากกว่า 50% ไปด้วยซ้ำ
ส่วนข้อสังเกตเรื่องการนำงานไปจ้างช่วงต่อนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างทั่วไป ไม่มีบริษัทไหน ที่จะทำงานเองทั้งหมด ส่วนใหญ่จะมีบริษัทลูกข่าย ที่จะมีการว่าจ้างให้เข้ามารับงานบางส่วนต่ออีกครั้ง
“ คุณไปดูได้เลย บริษัทก่อสร้างจะใหญ่หรือเล็ก เขาก็มีการว่าจ้างบริษัทอื่นเข้ามารับงานบางอย่างต่อด้วยทั้งนั้น มันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครเขาทำงานเองหมดหรอก เมื่อจ้างมาทำ เราก็มีหน้าที่สำคัญในการคุมเรื่องเนื้องานให้มีคุณภาพและเสร็จตามกรอบเวลางานที่ทันตามกำหนดนั้น อย่างบริษัทผม ผมก็มีบริษัทเครือข่ายหลายแห่ง งานอะไรที่ผมทำไม่ได้ ผมก็จะจ้างบริษัทลูกข่ายมาทำให้ ทีมแรกไม่ว่างก็จ้างทีมที่สอง ให้มาทำ ใครๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ”
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า บริษัทฯ ไม่แสดงหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีในใบสำคัญรับเงินนั้น นายปกรณ์ ตอบว่า เรื่องนี้ ไม่น่าจะมีการหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอะไรเลย เพราะในใบสำคัญรับเงิน กับกระบวนการเสียภาษีมันคนละส่วนกัน
“บริษัทผมทำธุรกิจมาหลายปีแล้ว เรื่องการเสียภาษีเราดำเนินการเรียบร้อยมาโดยตลอด ถ้ามีปัญหาเรื่องนี้จริง เราคงไม่ได้ทำธุรกิจมาจนถึงปัจจุบันนี้”
เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่า ไม่มีเส้นสายอะไรถึงทำให้เข้ามารับงานก่อสร้างวัด ที่ใช้งบอุดหนุนจาก อบจ.สมุทรปราการ นายปกรณ์ กล่าวยืนยันว่า "ผมไม่มีเส้นสายอะไรแน่นอน แต่ที่ผมเข้ามารับงานนี้ได้เพราะรู้จักกับวัดหลายแห่ง เคยเข้าไปทำงานให้มานานแล้ว รู้จักคุ้นเคยเจ้าอาวาส เมื่อวัดต้องการจะทำอะไรเขาก็เรียกบริษัทผมเข้าไปทำให้ เพราะเชื่อในฝีมือกัน"
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ ที่หน่วยงานตรวจสอบหลายแห่ง จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ นายปกรณ์ ระบุว่า "ไม่มีความกังวลใจอะไร เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ แต่สิ่งสำคัญคือ ภาพลักษณ์ ของบริษัท ที่อาจจะได้รับความเสียหายไป จากข่าวที่ออกมา ซึ่งข้อมูลที่ออกมาบ้างเรื่อง มันไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เป็นความจริงแค่บางส่วน และทำให้เราเสียหาย"
ปัจจุบันหลังปรากฎชื่อเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีร่วมกันพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดโดยมิชอบหรือโดยทุจริตพร้อมกับนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม
นาย ปกรณ์ เนตรประภา ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านแต่อย่างใด
อนึ่ง การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
คดีนี้ ในท้ายที่สุดผลการต่อสู้คดีในชั้นศาลจะออกมาเป็นอย่างไร ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป