อนุทิน ประเดิมหลังปีใหม่ร่วมประชุมบอร์ด สปสช. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากสถานการณ์โควิด-19 ประกาศพร้อมเดินหน้าผลักดัน 4 บริการยกระดับบัตรทอง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ พร้อมขอบคุณ กก.บอร์ด ทุ่มเททำงานกับ สธ. และรัฐบาล พัฒนาระบบสุขภาพประเทศ แจงความคืบหน้าจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 เร่งเจรจาจีนจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ช่วง ก.พ. ก่อน 2 ล้านโดส-ฉีดให้บุคลากรการแพทย์
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 ได้มีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 1/2564 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วยกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้เข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ขณะนี้
นายอนุทิน กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิทุกคน ที่ให้ความทุ่มเททำงานกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับตนและรัฐบาล ในการพัฒนาระบบสุขภาพประเทศ และตอบสนองต่อนโยบายด้วยดี ทั้งนี้ต้องขอแสดงความเสียใจกับการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำผิดกฎหมายและอยู่เหนือความควบคุม อย่างไรก็ตามจะนำความพร้อมที่มีอยู่ไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาบุคลากรทางการแพทย์ในระบบได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ได้หยุดช่วงปีใหม่ เพื่อที่จะพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในแนวทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนภารกิจต่างๆ ต่อไป
ในส่วนของนโยบายใหม่ๆ ในปีใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับ 4 บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) การดูแลประชาชนตามบริการปกติ หรืออีกหลายโครงการที่ได้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา จะมีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและทำให้ช่วงเริ่มต้นผ่านไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในฐานประธานบอร์ด สปสช. ขอยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนทุกนโยบาย ทุกข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน และจะผลักดันโครงการทั้งหมดนี้ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายใต้ขอบข่ายอำนาจที่มีอยู่
นอกจากนี้ นายอนุทิน กล่าวต่อบอร์ด สปสช. ถึงความคืบหน้าการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ว่า ประเทศไทยได้ทำสัญญาสั่งซื้อจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ไปแล้วจำนวน 26 ล้านโดส ทั้งหมดเป็นวัคซีนที่ผลิตภายใต้แบรนด์แอสตร้าเซนเนก้า หลังจากนั้นจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ของประเทศไทยที่ได้มีการอนุมัติไว้เพื่อผลิตวัคซีนเพิ่มเติม และมั่นใจว่าวัคซีนที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. เพื่อที่จะให้บริการประชาชนต่อไป
"ส่วนงบประมาณที่นำไปจัดซื้อวัคซีน นายกรัฐมนตรีให้ใช้จากงบกลาง ให้กรมควบคุมโรคเป็นเจ้าภาพจัดการ ซึ่งเราเจรจาสั่งซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้าในราคาโดสละ 6 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามต้องเรียนว่าสถานการณ์วัคซีนทั่วโลก ทั้งอุปสงค์และอุปทานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อ 6 เดือนที่แล้วเป็นแบบหนึ่ง ขอยืนยันว่าการตัดสินใจที่ผ่านมาเรายึดหลักของประชาชนเป็นหลัก ภายใต้กรอบของระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่อธิบายทุกฝ่ายได้" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนการตัดสินใจจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จากประเทศจีนนั้น เป็นไปเพื่อยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาด และความต้องการให้ได้วัคซีนมาโดยเร็วที่สุด ซึ่งได้มีการเจรจากับบริษัท ซิโนแวค ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2563 เพื่อให้ช่วยจัดสรรวัคซีนในเบื้องต้นมาฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุข และประชาชนกลุ่มเสี่ยง จำนวน 2 ล้านโดส โดยทางซิโนแวค ยินยอมจะจัดส่งวัคซีนล็อตแรกให้กับประเทศไทยในเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งจะดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายลำดับแรกเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ต่อไป
"ขอยืนยันว่าทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างโปร่งใสมากที่สุด บนเงื่อนไขหลักการทุกอย่างที่เป็นไปตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง และความมุ่งหวังในการควบคุมสถานการณ์เป็นสำคัญ ฉะนั้นคำถามเรื่องของราคา เงื่อนไขการเจรจาต่างๆ จึงเป็นเหตุและผลที่เกิดขึ้นบนการตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือกรมควบคุมโรค สามารถชี้แจงได้" นายอนุทิน กล่าว