สมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุไทย ยื่นหนังสือร้องนายกรัฐมนตรีขอทบทวนการปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ พร้อมยันมีความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิดเป็นอย่างดี
นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุไทย ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้ทบทวนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุมีใจความว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 60-100 ปี และมีภาวะความเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ จะทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยและติดเชื้อโควิด-19 หากต้องนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ขณะเดียวกันสถานดูแลผู้สูงอายุที่เป็นภาคธุรกิจบริการ ก็จะได้รับผลกระทบ ขาดรายได้ และพนักงานก็จะตกงานโดยลำดับ
นพ.ฆนัท กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด สมาคมได้ดำเนินการให้ปิดสถานดูแลผู้สูงอายุห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาภายใน แจ้งการงดเยี่ยมของญาติ การจำกัดการเข้าออกของพนักงานโดยจัดที่พักให้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้สูงอายุเป็นสำคัญ และจากที่ผ่านมาไม่พบการติดเชื้อในสถานดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย ซึ่งสามารถยืนยันและเป็นที่ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนว่า สถานดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทยมีศักยภาพ และความพร้อมในการรับมือเพื่อป้องกัน COVID-19 แตกต่างจากสถานดูแลผู้สูงอายุในต่างประเทศมีการรายงานการติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงขอให้นายกรัฐมนตรีทบทวนการสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุด้วยเหตุข้างต้น
โดยปัจจุบัน สมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุไทยมีผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิงพำนักอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุทั่วประเทศ ประมาณ 22,400 ราย มีผู้สูงอายุติดเตียงจำนวน 13,624 ราย อีกทั้งยังมีสถานดูแลผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกของสมาคม 240 แห่ง ต้องดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงพำนักอยู่มากกว่า 5,600 ราย ซึ่งทั้งหมดต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และจำเป็นต้องได้รับการดูแลด้วยทักษะเฉพาะทางจากทีมสหวิชาชีพทางการแพทย์ และการพยาบาล หากมีการสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบในวงกว้างอีก