‘พรรคประชาชน’เรียกร้อง ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด 3.6 พันเมกะวัตต์ ชี้เอื้อนายทุนพลังงาน 'บางกลุ่ม' ทำประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงเกินจริง 1 แสนล้านในช่วง 25 ปี
..............................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมกันแถลงในหัวข้อ ‘Policy Watch : ขบวนการค่าไฟแพง กำลังจะถูกสานต่อโดยรัฐบาลเพื่อไทย’
นายศุภโชติ กล่าวว่า ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2565 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เป็นประธาน มีมติรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565-2573 ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับปี 2018 ปรับปรุงครั้งที่ 1 รวมไปถึงกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภท เช่น รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.17 บาทต่อหน่วย การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ 3.1 บาทต่อหน่วย โดยสามารถเปลี่ยนแปลงปริมาณและเงื่อนไงการรับซื้อได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนอัตราที่รับซื้อได้
โดยหลังจาก กพช. มีมติดังกล่าว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็รับลูกด้วยการออกหลักเกณฑ์จัดหาพลังงานสะอาด จำนวน 5,203 MW เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2565 ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ออกมาระบุไว้ว่า จะไม่มีการประมูลในเรื่องราคา นอกจากนี้ ในขณะที่การจัดหาไฟฟ้ารอบแรกยังไม่เสร็จสิ้นและยังไม่ได้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ในวันที่ 9 มี.ค.2566 ที่ประชุม กพช. ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ ได้มีมติว่า ให้มีการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3,600 MW และยังยืนยันจะให้ใช้อัตราการรับซื้อไฟฟ้าตามเดิม
“หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผลการคัดเลือกของรอบแรกจำนวน 5,203 MW ก็ประกาศออกมาว่า ใคร บริษัทไหน ได้โครงการอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งก็ต้องบอกว่า เกิดปัญหาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นทั้ง ระยะเวลาการเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมค่อนข้างสั้น ทำให้บางบริษัทนั้นไม่มีเวลาที่เพียงพอในการเตรียมเอกสาร รวมไปถึงที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีการออกประกาศหลักเกณฑ์มาล่วงหน้าว่า จะให้คะแนนกันอย่างไรทำให้มีคนเข้าร่วมรู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมีการฟ้องร้องกันมากมาย” นายศุภโชติ กล่าว
นายศุภโชติ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้มีมติปรับปรุงหลักเกณฑ์ การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบเพิ่มเติม จำนวน 3,600 MW แต่ไม่แน่ใจว่า มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์กันอย่างไร จึงทำให้มีการล็อกโควตากว่า 2,100 MW ให้กับผู้ที่เคยยื่นเข้ามาในรอบ 5,200 MW ในช่วงปี 2565 เท่านั้น และเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา กบง.ได้มีการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบเพิ่มเติม ตามมติ กบง.
“กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ถ้าทุกท่านได้มีโอกาสลองไปดูในรายละเอียด จะเห็นได้ว่า มันเป็นกระบวนการที่ทำกันมาหลายรัฐบาล และกำลังจะถูกสานต่ออีกครั้งในรัฐบาลแพทองธาร” นายศุภโชติ กล่าว
นายศุภโชติ ระบุด้วยว่า จากการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบนี้นั้น ได้สรุปข้อพิรุธออกมาทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนนั้นเสียผลประโยชน์และต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น คือ
ประการที่ 1 ด้วยโครงสร้างของประเทศไทย ทุกการรับซื้อไฟฟ้าของรัฐ ทุกสัญญาสัมปทานที่รัฐให้เอกชน จะกลายเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนทุกคน ถ้ามีการซื้อไฟแพง ต้นทุนค่าไฟของพี่น้องประชาชนก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ปกติแล้วเวลาเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม จะมีการให้เอกชนแข่งกันเสนอราคาที่สามารถทำได้ให้รัฐเป็นคนตัดสิน หากใครทำราคาได้ถูกที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะไป
เช่น รัฐกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.17 บาท ต่อหน่วย และเปิดให้เอกชนเสนอราคา เช่น บางคนสามารถทำได้ที่ราคา 1.9 บาทต่อหน่วย หรือบางคนทำราคาได้ที่ 1.7 บาทต่อหน่วย คนที่เสนอราคาได้ถูกที่สุดคือ 1.7 บาทต่อหน่วย ก็จะเป็นผู้ชนะไป
“กลไกแบบนี้จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนทั้งหมดลดลง แต่จากการที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในรอบนี้ แต่ไม่มีประมูลแข่งขันให้ได้ราคาที่ดีที่สุดนั้น ประชาชนคนไทยจะต้องเป็นคนแบกรับการจ่ายค่าไฟแพงขึ้น และในขณะที่ประชาชนต้องเสียประโยชน์จากการจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้น แต่คนที่ได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลตั้งราคารับซื้อที่ค่อนข้างสูง และไม่ให้มีการประมูลแข่งกันเรื่องราคาเข้ามา ก็คือ เอกชนที่ได้โครงการไป เพราะว่าพวกเขาก็จะได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว
สิ่งนี้สะท้อนอยู่ในการประกาศรับซื้อเมื่อปี 2565 ที่ประกาศรับซื้อ 5,203 MW แต่มีเอกชนมายื่นเสนอโครงการถึง 17,400 MW นั่นหมายความว่า มีความสนใจมากกว่าความต้องการถึง 3.3 เท่า ที่แย่ที่สุดการรับซื้อเมื่อปี พ.ศ. 2567 นี้ คือ การที่ยังใช้ราคารับซื้อราคาเดิมที่เคยประกาศรับซื้อเมื่อ พ.ศ. 2565 ผ่านไป 2 ปี ก็ยังคงจะประกาศรับซื้อราคาเดิม โดยไม่มีการคิดถึงต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่ลดลงทุกปีตามการพัฒนาของเทคโนโลยี นั่นหมายความว่า ถ้าเป็นโครงการที่จะมีการก่อสร้างในปี 2570 ขึ้นไป พวกเขาใช้เงินในการลงทุนน้อยลงแต่จะสามารถขายไฟแพง ในราคาที่คิดล่วงหน้าเกือบ 10 ปี เช่น โครงการเกิดในปี 2573 แต่ราคารับซื้อคิดกันตั้งแต่ปี 2565” นายศุภโชติ ระบุ
ประเด็นที่ 2 การรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบกำหนดเงื่อนไขกีดกัน รัฐวิสาหกิจ อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ออกจากกระบวนการรับซื้อไปเลย ทั้งๆที่ กฟผ.เคยพิสูจน์ว่า ทำโครงการโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ที่เขื่อนสิรินธรได้ในปี พ.ศ.2564 และมีต้นทุนไฟฟ้าอยู่ที่ 1.5 บาท/หน่วย แต่ถูกกีดกันออกจากการรับซื้อในรอบนี้คนที่สามารถผลิตของถูกได้ ท่านไม่เอา แต่รัฐบาลกลับประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 2.2 บาท/หน่วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจว่า ในเมื่อรัฐวิสาหกิจ อย่าง กฟผ.สามารถทำราคาได้ถูกกว่าทำไมถึงไม่ยอมให้เข้าร่วมกระบวนการการคัดเลือกในรอบนี้
ประเด็นที่ 3 การรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 2 รอบ ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนที่ใช้ในการคัดเลือกก่อนเลย ตั้งแต่ในรอบปี 2565 และ รอบปี 2567 ก็เช่นกัน ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนให้เอกชนรู้ก่อนได้เลยว่า เขาควรจะเตรียมโครงการยังไงเพื่อที่จะทำให้ชนะการคัดเลือกเลยทำให้มีช่องโหว่ในการตัดสินและผู้ประเมินก็สามารถใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจเพื่อเข้าข้างใครก็ได้
“ในรอบที่ผ่านมาปี 2565 พอกระบวนการแบบนี้ออกมา ก็มีคนไม่พอใจ มีคนไปฟ้องร้องกันเหมือนที่ผมได้พูดไปจนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 ศาลปกครองได้ระบุในคำแถลงว่า “กระบวนการคัดเลือกไม่มีความโปร่งใสและยุติธรรมจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ได้” และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ผลลัพธ์ในรอบ 2565 ก็คือ มีกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มเดียวได้รับเป็นผู้คัดเลือกสูงถึง 58% หรือ 3,000 MW จากการรับซื้อทั้งหมด 5,203 MW
นี่อาจจะเป็นคำตอบของเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมรัฐบาลถึงไม่เปิดประมูลเรื่องราคา เวลาจะรับซื้อไฟฟ้า ทำไมถึงกีดกันรัฐวิสาหกิจออก และทำไมถึงไม่มีหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนสำหรับคัดเลือก ทั้งหมดก็เพื่อที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานใช่หรือไม่ นอกจากนี้ ทั้งๆ ที่หลักเกณฑ์อันนี้ มีมาปัญหามาตั้งแต่การคัดเลือกในรอบปี 2565 แต่รัฐบาลก็ยังคงเลือกที่จะเดินหน้ารับซื้อพลังงานสะอาด จำนวนกว่า 3600 MW เหมือนเดิม โดยยังคงใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับรอบ ปี 2565 ที่มีประเด็นปัญหาเหมือนเดิม” นายศุภโชติ ระบุ
ประเด็นที่ 4 จากการรับซื้อ 3,632 MW นี้ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก 2,168 MW และกลุ่มที่ 2 คือ ส่วนที่เหลือจากกลุ่มแรก โดยได้มีการกำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกนั้น ให้เฉพาะคนที่เคยผ่านการคัดเลือกรอบแรกเมื่อปี 2565 เท่านั้น เหมือนเป็นการล็อคไว้ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในการรับซื้อไฟฟ้าของกลุ่มนี้เลยด้วยซ้ำ
“ประเด็นนี้ ที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึงหลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบ 3600 MW สิ่งที่น่าสนใจก็คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลทางด้านพลังงาน ได้มีการท้วงติงในเรื่องนี้ไปแล้วว่า การคัดเลือกรอบ 5,203 MW จบลงไปแล้ว ไม่ควรนำมาเกี่ยวกัน เพราะฉะนั้นการที่ล็อกโควตาให้แค่เฉพาะคนบางกลุ่ม ไม่เปิดให้ผู้เล่นใหม่เข้าร่วมด้วย
อาจเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้เข้าร่วมรายอื่นๆ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญและคำถามที่สำคัญในประเด็นนี้ คือ ในเมื่อมีการท้วงติงจากหน่วยงานอย่าง กกพ. แต่ รมว.พลังงาน จึงยังเดินหน้ามติออกมา เพื่อล็อคโควต้าให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกไม่ยอมเปิดให้ผู้เข้าแข่งขันรายใหม่เข้าร่วม หรือที่รัฐมนตรีไม่ยอมฟังความเห็นของ กกพ. เพราะ รู้อยู่แล้วว่ากลุ่มทุนพลังงานไหนจะได้และต้องการล็อคโควต้าให้รายเดิม ใช่หรือไม่” นายศุภโชติกล่าว
ประการที่ 5 การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพิ่มอีกถึง 3,632 MW โดยไม่มีความจำเป็น ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ต้องการพลังงานสะอาดในประเทศ ประเทศไทยจำเป็นต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็นจำนวนมาก แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีการจัดหา ถ้าเป็นกระบวนการจัดหา ทำให้ภาระของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น จากการที่ไปซื้อไฟแพงมากๆ มาจากเอกชนหรือมาจากกลุ่มทุนพลังงาน กระบวนการแบบนี้ไม่ควรทำ
“เรามีวิธีการแบบอื่นที่จะทำให้ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ โดยไม่เป็นภาระต่อพี่น้องประชาชน อย่าง Direct PPA หรือการที่อนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดขายไฟฟ้าให้กับผู้ซื้อไฟฟ้าได้โดยตรง โดยจ่ายค่าเช่าระบบสายส่งของการไฟฟ้า วิธีนี้ดีกว่า เพราะจะไม่เป็นภาระกับประชาชนผู้ผลิตไฟกับผู้ซื้อไฟเจรจาขายไฟกันเอง โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องไปกำหนดราคาให้เขา ถ้าเจ้าของโรงไฟฟ้าอยากขายแพงก็ไม่มีใครซื้อ หรือต่อให้ซื้อกันแพงมากๆ คนที่แบกรับต้นทุนก็คือผู้ประกอบการรายเดียว ไม่ใช่ประชาชน
โดย Direct PPA นั้น สอดคล้องและตรงกับความต้องการของเอกชนที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากกว่า และมติ กพช. เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ก็ได้อนุมัตินโยบาย Direct PPA ให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงได้ ถึง 2,000 MW เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอยู่แล้ว แทนที่รัฐจะประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดจำนวน 3,632 MW เอง รัฐควรจะไปเพิ่มปริมาณสำหรับ Direct PPA แทนจาก 2,000 MW ก็เพิ่มเป็น 5,600 MW ดีกว่าตรงกับเป้าหมายมากกว่า ไม่เป็นภาระผู้บริโภค” นายศุภโชติ กล่าว
นายศุภโชติ กล่าวว่า จากข้อพิรุธทั้ง 5 ข้อที่เกิดขึ้นกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบเพิ่มเติมปี 2567 จำนวนกว่า 3,600 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ราคารับซื้อที่แพงเกินไปจะส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟของพี่น้องประชาชนหรือเป็นการกีดกันการแข่งขันไม่ให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดพลังงาน รวมไปถึงรัฐบาลมีทางเลือกอื่นในการจัดหาพลังงานสะอาดเพิ่มเติม โดยไม่เป็นภาระของประชาชนอย่าง Direct PPA ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการยกเลิกการจัดหาพลังงานสะอาดจำนวน 3,600 MW ในปี 2567 นี้ จะต้องยกเลิกหรือหยุด
“แม้ว่า การประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งรอบ 5,200 MW หรือรอบใหม่ 3,600 MW จะเริ่มต้นโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่ตามเงื่อนไขของการรับซื้อระบุชัดเจนว่า กพช. ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น มีอำนาจในการยกเลิกการรับซื้อได้ก่อนการลงนามซื้อขาย ไฟฟ้าหรือแม้แต่การออกมติใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การรับซื้อ กำหนดราคารับซื้อใหม่ที่เป็นธรรมก็สามารถทำได้ แต่รัฐบาลเศรษฐาก็ไม่ยอมทำอะไรก็เดินหน้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนเรื่อยมา ทั้งๆ ที่มีข้อพิรุธในหลายประการที่ได้กล่าวไป และรัฐบาลแพรทองธาร ก็กำลังจะสานต่อ ขบวนการค่าไฟแพงอีกครั้ง” นายศุภโชติกล่าว
ด้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีข้อเรียกร้องที่อยากส่งไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพช.ที่มีอำนาจเต็มในการหยุดยั้งขบวนการที่พวกเราตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นขบวนการขูดรีดประชาชน เป็นขบวนฟอกเขียวเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจหรือไม่ ซึ่งต้องย้อนมาดูโจทย์ใหญ่ในช่วง 10 ที่ผ่านมา ในขณะที่ประชาชนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ 90 % ต่อ GDP ซึ่งมีหนี้สินสูงถึง 6 ล้านล้านบาท แต่เจ้าสัว 50 คนแรกรวยขึ้นกว่า 2 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้กำลังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกวัน
“พรรคประชาชนไม่ได้ค้านทุน ตราบใดที่กลุ่มสามารถส่งออกสินค้าและบริการที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศกลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในประเทศพวกเราสนับสนุนและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกชุดที่จะต้องสนับสนุนกลุ่มทุนเหล่านั้นให้เติบโตในเวทีโลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ก็คือกลุ่มทุนที่เอารัดเอาเปรียบและสูบเลือดสูบเนื้อประชาชน แล้วถ่างช่องว่างช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกวัน ซึ่งกลุ่มทุนพลังงานก็เป็นกลุ่มทุนเหล่านั้นทำให้ประชาชนเสียค่าไฟที่แพงกว่าความเป็นจริง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นกลับกำลังไหลกลับเข้าสู่กระเป๋าเจ้าสัว
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลจนถึงพรรคประชาชนสื่อสารมาโดยตลอด คือ แผนพลังงานแห่งชาติมีการวางแผนการผลิตไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าความจำเป็น ถึง 49 % ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ยกตัวอย่าง ในเดือนกันยายนที่ผ่านมามีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 7 ใน 13 โรงที่ไม่ได้เดินเครื่องการผลิต แต่ประชาชนทุกคนยังต้องเสียค่าไฟให้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องเหล่านั้นถึง 2,400 ล้านบาท หากลองหารจำนวนครัวเรือนในประเทศไทย แปลว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาบ้านทุกหลังกำลังจะต้องเสียค่าไฟเกินกว่าความเป็นจริงเดือนละ 100 บาทต่อหลังเรือนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัวอย่างไม่มีความจำเป็น” นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หากรัฐบาลอยากสนับสนุนพลังงานสะอาดหรือสัญญาซื้อขายโดยตรงสามารถทำได้โดยตรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้สัญญาสัมปทานที่ไม่มีการประมูลแบบนี้ ซึ่งรัฐบาลทั่วโลกกำลังรับซื้อพลังงานสะอาดที่ถูกกว่า แต่รัฐบาลไทยกลับกำลังมอบสัมปทานให้กับเจ้าสัวกลุ่มทุนพลังงานในประเทศ ยกตัวอย่างในพลังงานแสงอาทิตย์ ตอนนี้ กฟผ.มีโครงการโซล่าลอยน้ำที่ผลิตได้ที่ต้นทุนหน่วยละ 1.50 บาท แต่ กกพ.กลับให้รัฐบาลรับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ในราคาหน่วยละ 2.20 บาท แพงกว่ากันถึงหน่วยละ 70 สตางค์
“นี่คือสิ่งหนึ่งที่กำลังสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลในปัจจุบันกำลังใช้นโยบายของรัฐในการให้สัมปทานที่ไม่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อที่จะเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางกลุ่มหรือไม่” นายณัฐพงษ์ ย้ำ
นายณัฐพงษ์ ระบุด้วยว่า เมื่อคำนวณออกมาว่าเฉพาะการรับซื้อไฟฟ้า 3,600 MW ดังกล่าว จะทำให้ประชาชนต้องรับซื้อพลังงานเกินจริงถึง 4,162 ล้านบาทต่อปี และคิดเป็นตลอดอายุสัมปทาน 25 ปี จะเป็น 104,050 ล้านบาท ทั้งนี้ หากนายกฯ ไม่ออกมาหยุดยั้งขบวนการที่สูบเลือดสูบเนื้อประชาชนแบบนี้ อีก 25 ปีข้างหน้า คนไทยจะมอบเงินออกกระเป๋าที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัวอย่างไม่มีความจำเป็น
“สำหรับ 5,200 MW ซึ่งสัมปทานสิ้นสุดไปแล้ว เราได้คำนวณเฉพาะในส่วนของไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ก็เกิดความเสียหายไปแล้ว 9 หมื่นกว่าล้านบาท ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน 25 ปี ส่วนอีก 3,600 MW ก็คิดเป็นแสนกว่าล้าน เรายังสามารถหยุดยั้งได้ อยู่ที่เจตจำนงค์และการใช้อำนาจที่ถูกต้องของรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงนายกฯ ที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะขบวนการเกิดขึ้นตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผ่านมายังรัฐบาลเศรษฐาจนถึงรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งพวกเราได้อภิปรายเรื่องนี้ต่อ นายกฯ ในการแถลงงบประมาณไปแล้ว นายกฯ ก็อยู่ ดังนั้น จึงปฏิเสธว่า ไม่รับรู้ไม่ได้ และอยากย้ำอีกครั้งว่า นายกฯ เป็นประธาน กพช.ที่มีอำนาจเต็มในการหยุดยั้งขบวนการนี้”นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า พรรคประชาชนอยากจะเชิญชวนประชาชนให้ร่วมกันติดตามวาระนี้อย่างจริงจัง ให้เป็นวาระทางสังคมเพื่อยุติกระบวนการแสนกว่าล้านบาท อย่าให้ขบวนการแบบนี้เดินหน้าต่อไปอีก ทั้งนี้พรรคยินดีเป็นเจ้าภาพให้เอกชนที่เสียประโยชน์จากการเข้าร่วมขอรับสัมปทานและมีการกีดกันการประมูล ถ้าเสียประโยชน์สามารถติดต่อมาที่พรรคประชาชน เพื่อฟ้องร้องศาลปกครองเพื่อยุติขบวนการนี้อย่างถึงที่สุด