บอร์ดการทางฯมีมติตีกลับแผนดึงทางด่วนกะทู้ - ป่าตอง 9,000 ล้านบาทมาก่อสร้างเอง หลังเห็นว่า ครม.เคาะเป็นหลักการไปแล้ว ควรเสนอทบทวนกลับมาใหม่ ให้เวลา 1 เดือน สแกนเข้มรูปแบบการลงทุน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 28 ตุลาคม 2566 จากกรณีที่ได้รายงานไปว่า นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูนสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 24 ต.ค.2566 นี้ จะเสนอให้ที่ประชุมทบทวนรูปแบบการลงทุนใหม่ จากเดิมที่ออกแบบการลงทุนไว้เป็นให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการนี้ (PPP) จะเปลี่ยนเป็น กทพ. จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเอง ดึงเอาเนื้องานโยธา ระยะทาง 4 กม.มาดำเนินการก่อน คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 9,000 ล้านบาทนั้น
ล่าสุด แหล่งข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ.เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา กทพ.เสนอขออนุมัติหลักการลงทุนใหม่โครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต ระยะทาง 3.98 กม. โดยขอปรับรูปแบบเป็นลงทุนงานโยธาเอง วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งบอร์ดเห็นว่าโครงการนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการโครงการไปแล้วให้ร่วมลงทุนเอกชน (PPP) ดังนั้นจะเสนอขออนุมัติหลักการไม่ได้ จะเป็นการอนุมัติมติที่ขัดกับมติ ครม.
โดย กทพ.ต้องเสนอขอทบทวนรูปแบบการลงทุนโครงการโดยบอร์ดให้เวลา กทพ.ทำข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ให้ครบถ้วน ให้เวลา 1 เดือน และนำเสนอบอร์ดในการประชุมเดือน พ.ย. 2566 จากนั้นจะนำเสนอกระทรวงคมนาคม และ ครม.ต่อไป
ทั้งนี้ เหตุผลที่ กทพ.ต้องทบทวนรูปแบบลงทุนโครงการฯ ใหม่ ได้แก่ 1. ประเด็นความพร้อมของโครงการ 2. ประเด็นเรื่องระยะเวลาดำเนินโครงการ 3. ประเด็นความเหมาะสมและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม และ 4. กรณีปล่อยให้โครงการล่าช้าออกไป โดยให้ไปรวมกับ โครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ จะกระทบต่อมูลค่าโครงการ, สภาพพื้นที่, สถานะการเงินของ กทพ.ในการลงทุนเอง เป็นต้น
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงศ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ.ได้ให้แนวคิดที่ กทพ.ควรลงทุนเอง สำหรับทางด่วนสายกะทู้-ป่าตอง วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาจากสถานะการเงินของ กทพ.ที่มีเงินสดสะสมประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท เป็นแหล่งเงินที่เหมาะสมในการลงทุนในภาวะปัจจุบัน สามารถนำมาลงทุนในโครงการฯเฉลี่ยช่วง 4 ปี ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ กทพ. และไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศอีกด้วย