กสม.ชี้กรณีรถยนต์ของกลางได้รับความเสียหายและถูกนำไปใช้งานในระหว่างการเก็บรักษาของตำรวจ เป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน แนะ สตช. กำกับดูแลอย่างเคร่งครัด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2566 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จากผู้ร้องรายหนึ่ง ระบุว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2562 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองระยอง (สภ. เมืองระยอง) จังหวัดระยอง ได้ยึดรถยนต์ของผู้ร้องไว้เป็นของกลางในคดีอาญา ต่อมาศาลจังหวัดระยองมีคำพิพากษาไม่ริบรถยนต์ดังกล่าว เมื่อผู้ร้องได้รับรถยนต์คืนปรากฏว่ารถยนต์ได้รับความเสียหาย ได้แก่ เลขมาตรวัดระยะทางเพิ่มขึ้นกว่า 1,700 กิโลเมตร แบตเตอรี่รถยนต์ถูกถอดออก เบาะนั่งคู่หน้าถูกถอดเปลี่ยนโดยนำเบาะอื่นซึ่งเก่าและขาดมาใส่แทน และถูกเรียกเก็บค่าจอดรถ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าวเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 37 ได้บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 132 บัญญัติให้อำนาจพนักงานสอบสวนสามารถยึดสิ่งของที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ โดยที่ประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 15 บทที่ 9 ได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเก็บรักษารถของกลางไว้ว่า ให้ผู้มีหน้าที่เก็บรักษารถของกลาง เก็บรักษารถไว้ภายในบริเวณสถานที่ทำการของตนหรือสถานที่อื่นใดตามที่ผู้กำกับการกำหนด โดยการเก็บรักษาให้ใช้ความระมัดระวังตรวจตรารถของกลางให้เป็นอยู่ตามสภาพเดิมเท่าที่สามารถจะรักษาไว้ได้ และให้พนักงานสอบสวนและผู้นำส่งรถของกลางบันทึกในรายงานประจำวันให้ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับรถของกลาง อันจะเป็นเหตุให้เจ้าของหรือผู้มีสิทธิจะรับรถของกลางคืนนั้นทราบว่าเป็นรถของตนและสามารถพิสูจน์ได้ด้วย
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ผู้ร้องส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่พนักงานสอบสวน สภ. เมืองระยอง เมื่อเดือนตุลาคม 2562 ผู้ร้องได้ถ่ายภาพหน้าจอซึ่งแสดงเลขมาตรวัดระยะทางของรถยนต์คันดังกล่าวไว้ จากการตรวจสอบสมุดคุมบัญชีของกลางในคดีอาญาของ สภ. เมืองระยอง ซึ่งเป็นการลงบันทึกในเดือนพฤษภาคม 2563 พบว่า มีการระบุรายละเอียดของตัวรถเพียงแค่ชื่อรถ ยี่ห้อ สี และหมายเลขทะเบียนเท่านั้น และรถยนต์คันดังกล่าวถูกนำไปจอดไว้ในพื้นที่ของเอกชนซึ่ง สภ. เมืองระยองในฐานะผู้ถูกร้องใช้เป็นสถานที่เก็บรถของกลาง ต่อมา เมื่อผู้ร้องไปรับรถยนต์คืนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 พบว่า เลขมาตรวัดระยะทางของรถยนต์คันดังกล่าวมีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากวันที่ส่งมอบรถยนต์ให้กับ สภ. เมืองระยอง กว่า 1,700 กิโลเมตร ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาหลักฐานภาพถ่ายมาตรวัดระยะทางที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับวันที่มีการบันทึกข้อมูลการตรวจยึดในสมุดคุมบัญชีของกลางซึ่งเป็นการลงบันทึกภายหลังจากวันที่พนักงานสอบสวนได้ทำการตรวจยึดเป็นเวลากว่า 6 เดือน จึงอาจเป็นช่องว่างให้มีการนำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้งานได้ ในชั้นนี้ จึงน่าเชื่อว่ารถยนต์ของกลางนี้ถูกนำไปใช้งานในระหว่างการเก็บรักษาของผู้ถูกร้อง โดยมีลักษณะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์ที่ถูกยึดไว้เป็นของกลาง และไม่มีมาตรการที่ดีเพียงพอในการเก็บรักษา อันเป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของผู้ร้อง
สำหรับกรณีที่เบาะนั่งคู่หน้ารถยนต์ของผู้ร้องถูกเปลี่ยนออกแทนที่ด้วยเบาะเก่า ผู้ร้องได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สภ. เมืองระยอง เพื่อให้ดำเนินคดีกับเอกชนเจ้าของสถานที่รับเช่าจอดรถยนต์แล้ว แต่ สภ.เมืองระยองมิได้ดำเนินการตรวจสอบหรือสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริง กลับปล่อยปละละเลยจนกระทั่งผู้ร้องได้ร้องเรียนต่อ กสม. สภ. เมืองระยองจึงได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาเจรจาไกล่เกลี่ย ส่วนกรณีที่แบตเตอรี่รถยนต์ของผู้ร้องถูกถอดเปลี่ยนโดยเอกชนเจ้าของสถานที่เก็บรักษารถยนต์โดยอ้างว่าเพื่อนำไปชาร์จไฟให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ เห็นว่า การกระทำใด ๆ ต่อรถยนต์ของผู้ร้อง จำเป็นต้องแจ้งและได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเสียก่อน จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของผู้ร้องเช่นกัน
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องถูกเอกชนเจ้าของสถานที่รับจอดรถยนต์เรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษารถยนต์ในราคาเดือนละ 500 บาท เห็นว่า การที่ สภ. เมืองระยองกำหนดให้พื้นที่เอกชนตามคำร้องเป็นสถานที่เก็บรถยนต์ของกลาง โดยไม่มีสัญญาเช่าและไม่ได้ให้ค่าตอบแทน เป็นการดำเนินการโดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ และการที่ สภ. เมืองระยอง อนุญาตให้เจ้าของพื้นที่เรียกเก็บเงินจากผู้ร้องก็เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กำหนดไว้ ประกอบกับผู้ร้องไม่ได้ประสงค์จะนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจอดไว้ในสถานที่ของเอกชนและยินยอมเสียค่าบริการในการจอดรถ แต่เป็นคำสั่งของผู้ถูกร้องที่สั่งให้นำรถยนต์ของผู้ร้องซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาไปจอดไว้ในสถานที่ของเอกชน ผู้ร้องจึงไม่จำต้องจ่ายค่าจอดรถยนต์ให้กับเอกชนเจ้าของสถานที่ การดำเนินการเช่นนี้ จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทบสิทธิในทรัพย์สินของผู้ร้อง และไม่สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดการให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกประการหนึ่ง
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2566 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สรุปได้ดังนี้
ให้ สตช. ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามประเด็นที่มีการร้องเรียน และหากพบว่ารถยนต์ของผู้ร้องได้รับความเสียหายในระหว่างที่ถูกตรวจยึด ก็ให้ชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ร้อง พร้อมกันนี้ให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดให้พื้นที่เอกชนในกรณีตามคำร้องนี้เป็นสถานที่เก็บรักษารถยนต์ของกลาง และปล่อยปละละเลยให้มีการเรียกเก็บค่าจอดรถซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ สตช. แล้วนำผลการตรวจสอบไปกำหนดมาตรการป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนลักษณะเดียวกับคำร้องนี้อีก
ทั้งนี้ ให้ สตช. แก้ไขปัญหาในภาพรวมเกี่ยวกับการเก็บรักษาของกลางในคดีอาญา โดยควรมีระบบหรือมาตรการในการเก็บรักษาทรัพย์ของกลางให้รอบคอบ มีความปลอดภัย สามารถป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพย์ที่ถูกยึดไว้เป็นของกลาง การจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ของกลางหรือนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงแจ้งให้หัวหน้าสถานีตำรวจในสังกัดทั่วประเทศ ปฏิบัติตามระเบียบ สตช. ว่าด้วยการเก็บรักษาและการจำหน่ายของกลาง พ.ศ. 2565 อย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชนที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเกินสมควรแก่กรณี ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้