ครม.อนุมัติ ‘กฟผ.’ พัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเล-สถานีไฟฟ้าแรงสูง 1.1 หมื่นล้าน เพิ่มศักยภาพส่งไฟฟ้าไป ‘เกาะสมุย-เกาะเต่า-เกาะพะงัน’
...........................................
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปยังบริเวณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี วงเงิน 11,230 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งพลังงานไฟฟ้าไป อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่เกาะข้างเคียง (เกาะเต่า และเกาะพะงัน) สนองตอบต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นและเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในระยะยาว
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลฯดังกล่าว เป็นการก่อสร้างสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 230 เควี (kV) ขนอม - เกาะสมุย จำนวน 2 วงจร รวมระยะทาง 52.5 กิโลเมตร และติดตั้ง Fiber Optic พร้อมทั้งขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230 เควี (kV) ขนอม และปรับปรุงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะมีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230/115 เควี (kV) เกาะสมุย (สถานีไฟฟ้าแรงสูงแห่งใหม่) พร้อมติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 230/115 เควี (kV) ขนาด 300 MVA จำนวน 2 ชุด รวมทั้งจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230/115 เควี (kV) เกาะสมุย (สถานีไฟฟ้าแรงสูงแห่งใหม่)
สำหรับวงเงินลงทุนฯ 11,230 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ 4,969.5 ล้านบาท และ 2.ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้างอีก 6,260.5 ล้านบาท โดยเงินลงทุน 25% จะมาจากรายได้ของ กฟผ. ส่วนอีก 75% จะมาจากแหล่งเงินทุนอื่นๆ โดยกระทรวงการคลัง ไม่มีความจำเป็นต้องค้ำประกันเงินกู้ เนื่องจาก กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจ ที่มีศักยภาพและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีสัดส่วนความสามารถในการทำรายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (DSCR) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
นายอนุชา ระบุว่า โครงการฯมีระยะเวลาดำเนินการ 7-8 ปี และมีกำหนดแล้วเสร็จประมาณ มิ.ย.2572 โดยจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่เกาะข้างเคียง คือ เกาะเต่าและเกาะพะงัน ซึ่งระบบเดิมรองรับได้ถึงปี 2574 เท่านั้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าลดการเกิดไฟฟ้าดับในพื้นที่ดังกล่าว
“เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าบนเกาะสมุยและเกาะข้างเคียง คือ เกาะพะงัน และเกาะเต่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการขยายตัวของกิจกรรม ทางเศรษฐกิจและธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะต่างๆ ในอนาคต ซึ่งการดำเนินโครงการ ฯ ต้องจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ณ อัตราคิดลดเท่ากับร้อยละ 5.51 อยู่ที่ 10,130.7 ล้านบาท จะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเพิ่มขึ้น 0.0025 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุโครงการฯ” นายอนุชา กล่าว