กสม. เผยกรณีกองทัพอากาศประกาศรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ โดยให้มีการตรวจหาเชื้อ HIV เป็นการละเมิดสิทธิฯ มีข้อเสนอแนะให้ยกเลิกคำว่าภาวะกะเทยใน พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 และยกเลิกเงื่อนไขการตรวจหาเชื้อ HIV ในการรับสมัคร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2566 นายพิทักษ์พล บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้รับเรื่องร้องเรียนจากมูลนิธิคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เมื่อ พ.ย. 2564 ระบุว่า กองทัพอากาศประกาศรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการทหารประจำปี 2564 โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สมัครยินยอมให้คณะกรรมการตรวจร่างกายทางการแพทย์ กรมแพทย์ทหารอากาศ ตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วย นอกจากนี้ ยังมีกฎระบุให้ภาวะกะเทย (Hermaphrodism) เป็นโรคซึ่งไม่สามารถเข้ารับราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานภาคพื้นของกองทัพฯ ได้ เป็นการระบุเงื่อนไขที่เป็นการกีดกันโอกาสในการทำงานของประชาชน จึงขอให้ตรวจสอบและให้ยกเลิกเงื่อนไขทั้งสองกรณีดังกล่าวออกจากประกาศการรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการทหารในอนาคต
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 บัญญัติรับรองให้บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องเพศ สภาพทางกายหรือสุขภาพ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ข้อ 2 ที่ระบุหลักการไม่เลือกปฏิบัติดังกล่าวไว้ โดยที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Commission on Human Rights) ได้มีข้อมติยืนยันว่า บทบัญญัติเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติ ตีความหมายรวมถึงสถานภาพทางสาธารณสุขซึ่งรวมทั้งเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ซึ่งหมายความว่า รัฐไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อและผู้ได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ขณะที่คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ได้มีความเห็นทั่วไปหมายเลขที่ 18: สิทธิในการทำงาน ระบุว่าการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุทางสุขภาพต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ถือเป็นการจำกัดการเข้าถึงสิทธิในการทำงาน
นอกจากนี้ นโยบายการตรวจเลือดก่อนรับเข้าทำงานยังขัดต่อแนวปฏิบัติเรื่องโรคเอดส์ในโลกแห่งการทำงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ข้อ 8.1 ที่ระบุว่าไม่ควรมีการตรวจหาเชื้อเอดส์ในกระบวนการสรรหาบุคคลหรือในการต่ออายุการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจก่อนจ้างงานหรือการตรวจร่างกายตามปกติของลูกจ้างก็ไม่ควรมีข้อบังคับให้ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
การที่กองทัพอากาศได้กำหนดเงื่อนไขในประกาศรับสมัครสอบประจำปี 2564 จำนวน 3 ฉบับ ให้มีการตรวจร่างกายซึ่งรวมถึงตรวจหาเชื้อเอชไอวี แม้ว่าโรคเอดส์หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือการติดเชื้อเอชไอวี จะไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นโรคหรือสภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับราชการทหารได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 74 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยให้เหตุผลว่า การเป็นทหารอาชีพ ต้องฝึกทั้งด้านวิชาการ และภาคสนาม หากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับบาดเจ็บอาจทำให้ผู้อื่นมีความเสี่ยงติดเชื้อไปด้วย ประกอบกับเห็นว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจมีข้อจำกัดด้านสมรรถภาพทางร่างกายที่ไม่เหมาะกับการปฏิบัติงาน นั้น
กสม. เห็นว่า การติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องมีอาการของโรคเอดส์ และปัจจุบันสามารถรักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่ง หากผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาและได้รับยาตามปกติก็มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีอายุขัยยืนยาวเช่นเดียวกับคนทั่วไป อีกทั้งการติดเชื้อเอชไอวีจากบุคคลอื่นมีได้สามทางหลัก ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการป้องกันซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด การติดต่อทางเลือดซึ่งมีส่วนน้อยจะติดเชื้อจากการที่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่เป็นบาดแผลแล้วไปสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อโดยตรง และการติดต่อจากมารดาสู่ทารกเท่านั้น
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งที่กองทัพอากาศรับสมัครตามประกาศ เช่น ช่างซ่อมบำรุง เจ้าหน้าที่สารวัตร นายทหารแผนและพัฒนางานวิจัย นายทหารการศึกษา นายทหารโสตทัศนูปกรณ์ ฯลฯ เห็นว่า มิได้มีหน้าที่หลักในการรบหรือปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่จะทำให้มีความจำเป็นต้องรับสมัครบุคคลที่มีสมรรถภาพทางร่างกายสมบูรณ์ที่สุด ทั้งพบว่าปัจจุบันมีข้าราชการทหารที่ติดเชื้อเอชไอวีภายหลังเข้ารับราชการแล้วยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบุคลากรดังกล่าว มีสมรรถภาพในการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ การที่กองทัพอากาศกำหนดเงื่อนไขในประกาศรับสมัครสอบตามคำร้องให้มีการตรวจร่างกายซึ่งรวมถึงตรวจหาเชื้อเอชไอวีจึงถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งสุขภาพอันไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกรณีการกำหนดให้ภาวะกะเทยเป็นโรคซึ่งไม่สามารถเข้ารับราชการทหารตามประกาศรับสมัครนั้น หากพิจารณาจากข้อมูลโดยรวมสรุปได้ว่าภาวะกะเทยในทางการแพทย์หมายถึงภาวะเพศกำกวม ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีอวัยวะเพศสองเพศ แต่ภาวะดังกล่าวไม่สามารถทราบได้จากการมองลักษณะทางกายภาพต้องอาศัยการพิจารณาทางการแพทย์หลายด้าน อีกทั้งยังไม่ปรากฏข้อมูลจากหน่วยงานอื่นที่ระบุให้เห็นว่าบุคคลที่มีภาวะกะเทยหรือภาวะเพศกำกวมมีสมรรถภาพหรือความรู้ความสามารถด้อยกว่าบุคคลทั่วไป อย่างไรก็ดี การกำหนดให้ภาวะกะเทยเป็นโรคซึ่งไม่สามารถเข้ารับราชการทหารเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 74 (พ.ศ. 2540) ออกตามความพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497
โดยกฎหมายดังกล่าวมิได้ให้อำนาจกองทัพอากาศในการกำหนดหรือยกเลิกโรคที่ไม่สามารถเข้ารับราชการเองได้ กรณีนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ากองทัพอากาศปฏิบัติหรือละเลยการปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี เห็นว่าการกำหนดให้ภาวะกะเทยเป็นโรคที่ไม่สามารถรับราชการทหารได้ถือเป็นการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล และเป็นการเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ อันกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคล จึงถือเป็นข้อกำหนดที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2566 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อกองทัพอากาศและกระทรวงกลาโหม เพื่อดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
กรณีการกำหนดให้ภาวะกะเทยเป็นโรคซึ่งไม่สามารถเข้ารับราชการทหาร ให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกคำว่าภาวะกะเทยในข้อ 2 โรคหรือสภาพร่างกายหรือสภาพจิตใจ ซึ่งไม่สามารถจะรับราชการทหารตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 74 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ทั้งนี้ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้
กรณีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้กองทัพอากาศและกระทรวงกลาโหมแจ้งหน่วยงานในสังกัดยกเลิกเงื่อนไขการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในการรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการตามตำแหน่งที่ปรากฏในประกาศรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการทหารทั้ง 3 ฉบับ ตามคำร้องนี้ รวมทั้งให้กระทรวงกลาโหมแจ้งประชาสัมพันธ์ให้บุคลากรในสังกัดมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเชื้อเอชไอวีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งกรณีการเข้ารับการรักษาและรับยาต้านเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ