ครม.เห็นชอบ 6 มาตรการป้องกันการทุจริตในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก่อนเผยความคืบหน้าการแจ้งเบาะแส - แนวปฏิบัติต่างๆ ส่วนข้อเสนอของ ป.ป.ช. ที่ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฯ ต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 6 ธันวาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบการดำเนินงานของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมศุลกากร และกรมสรรพากร รายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อ มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เสนอโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คกก. ป.ป.ช.) สรุปได้ ดังนี้
1. การเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแส (1) การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษี หน่วยงานที่เกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก และหน่วยงานด้านการจดทะเบียนพาณิชย์ เป็นนิติบุคคล (2) มีระบบการแจ้งเบาะแสที่มีประสิทธิภาพและมีสินบน นำจับในกรณีมีผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตเกี่ยวกับภาษี
2. กำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องจัดทำใบกำกับภาษี อิเล็กทรอนิกส์และรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพิ่มกลไกการตรวจสอบ ถ่วงดุล สอบยันในหน่วยจัดเก็บภาษี โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีอธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธาน
4. ในกรณีข้อมูลการส่งออกไม่เพียงพอต่อการพิจารณาการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรส่งเรื่องให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนจึงจะนำมาใช้ อ้างอิง รวมถึงตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านภาษีหรือการจดทะเบียนเป็น นิติบุคคลของต่างประเทศว่าผู้นำเข้ามีการประกอบการจริงหรือไม่
5. เพิ่มกลไกการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมาตรฐานที่มีอยู่เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้ส่งออกที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการทุจริตในการขอคืน ภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตรวจสอบเกี่ยวกับผู้รับผลประโยชน์ ที่แท้จริงเพื่อให้สามารถป้องกันและทราบถึงกรณีตัวแทนการจดทะเบียนบังหน้า
ทั้งนี้ ประเด็นการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบแจ้งเบาะแสนั้น กรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการบูรณาการขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ โดยรวมขั้นตอนยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลพร้อมการยื่นคำขอต่างๆ เพื่อเป็นการปฎิบัติตามประมวลรัษฎากร ได้แก่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการลงทะเบียนขอใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการรับแบบคำขอใช้บริการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมกับการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วย
นอกจากนี้ กรมสรรพากรมีช่องทางในการแจ้งเรื่องการบริการแจ้งเบาะแสเรื่องการทุจริตและข้อเสนอแนะ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (rd.go.th)
ข้อเสนอ คกก.ตรวจสอบคืนภาษีฯ รอแก้กฎหมาย
กรมสรรพากรยังมีการออกระเบียบว่าด้วยการจัดทำส่งมอบและเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็คทรอนิกส์ หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการจัดทำและนำส่ง e-Tax Invoice & e-Receipt ปัจจุบัน กรมสรรพากรให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ โดยความสมัครใจ เนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ละรายมีขนาดธุรกิจแตกต่างกัน นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีหน่วยงานพิจารณาคืนภาษีทั่วประเทศ สำหรับการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามข้อเสนอแนะของกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน เนื่องจากยังมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้มีการเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีให้แก่บุคคลอื่นเว้นแต่จะมีอำนาจตามกฎหมาย
กรมสรรพากร ยังมีระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอยู่แล้ว เช่น กรณีมีข้อสงสัยหรือมีความผิดปกติในการส่งออกและจะมีการประสานแจ้งกรมศุลกากรให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในแต่ละราย กรณีมีเหตุสงสัยนิติบุคคลต่างประเทศมีการประกอบการจริงหรือไม่หรือเป็นผู้ซื้อขายจริงหรือไม่ สามารถประสานไปยังกองวิชาการแผนกภาษีกรมสรรพากรเพื่อขอข้อมูลเฉพาะลายที่ต้องสงสัยไปยังสรรพากรในต่างประเทศได้ รวมทั้งประสานขอข้อมูลใบขนส่งสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออกจากกรมศุลกากรตามที่ได้ทำความตกลงตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมสรรพากรและคนศุลกากร เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ในปี 2563 รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจำนวน 2.86 ล้านล้านบาทโดยเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 7.45 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 26.04 ของภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้จำนวนมากที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรียังให้ทุกหน่วยงานช่วยกันชี้แจ้ง ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงข้อเท็จจริงว่า การจัดเก็บภาษีเป็นเครื่องมือทางการคลังของรัฐบาลในการหารายได้เพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและใช้ในการรักษาเสถียรภาพของทางเศรษฐกิจเช่นการกระตุ้นการจ้างงานในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำและการป้องกันภาวะเงินเฟ้อด้วยมาตรการทางภาษี รวมทั้งมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเอาจริง เอาจังของรัฐบาลในการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นด้วย