ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ เร่งถกด่วน คาดออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิดในเด็กเล็ก 6 เดือน - ต่ำกว่า 5 ปีได้ในพรุ่งนี้ ยันช่วยป้องกันรุนแรง-เสี่ยงภาวะ MIS-C หลังติดเชื้อ ย้ำไม่กระทบวัคซีนพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2565 ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ จะมีการประชุมผู้เชี่ยวชาญบ่ายวันที่ 12 ก.ย. เพื่อออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - น้อยกว่า 5 ปี เพื่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฉีด ขนาดวัคซีน และความจำเป็นของการฉีดให้เด็กเล็กกลุ่มนี้ เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ เมื่อติดเชื้อโควิดจะมีอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงกว่าเด็กโต แม้ตัวเลขอาจไม่สูงมาก แต่ก็เป็นตัวเลขที่ต้องเฝ้าระวัง
"ข้อมูลที่ผ่านมาเราพบว่า เด็กที่เสียชีวิตจากโควิดอายุต่ำกว่า 1 ขวบเยอะ เพราะภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ และแม่ก็ไม่เคยป่วยโควิดมาก่อน ทำให้เมื่อคลอดลูกออกมา ลูกก็ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอีก ที่ประชุมวันนี้จะมีการพิจารณาความจำเป็นถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เพราะขณะนี้มีส่วนหนึ่งยังกังวลว่า ควรนำบุตรหลานไปฉีดวัคซีนหรือไม่ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงต้องพาลูกหลานไปฉีด เพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน ยิ่งคนในประเทศมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นก็ยิ่งควบคุมการระบาดได้มาก" ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ผู้ปกครองส่วนหนึ่งกังวลผลข้างเคียงจากวัคซีน mRNA ให้เด็กเล็ก ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า วัคซีน mRNA แทบไม่มีผลข้างเคียงอะไร จะมีก็เป็นเรื่องปวดเมื่อย เป็นไข้ ที่ผ่านมาฉีดวัคซีน mRNA ให้เด็กโตอายุ 5-11 ปีก็แทบไม่พบปัญหาโรคหัวใจอย่างที่กังวล โดยเฉพาะในไทย ยิ่งวัคซีนที่นำมาฉีดในเด็กน้อยกว่า 6 เดือน อย่างต่างประเทศมีข้อมูลว่า ผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต และประเด็นเรื่องมีผลต่อหัวใจก็ไม่มี
แต่หากไม่ฉีดวัคซีนโควิดในเด็ก ปัญหาที่น่ากังวลมากกว่า คือ เมื่อป่วยโควิด แม้ไม่มีอาการ แต่หลังจากนั้น 1 เดือนอาจมีภาวะของ MIS-C คือ เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ซึ่งอาจรุนแรงได้ และถ้ามีโรคอื่นๆ ก็อาจเสียชีวิตได้ ซึ่งข้อมูลต่างประเทศพบเด็กเป็นมิสซี ส่วนใหญ่อายุ 8-9 ขวบ แม้พบไม่ถึง 1% แต่ก็ต้องระวัง ส่วนไทยมีแทบทุกช่วงอายุ 4-5 ขวบก็มี
"การฉีดวัคซีนโควิดดีที่สุด และไม่ต้องกลัว เพราะไม่ได้ฉีด DNA เข้าไป แต่ฉีด RNA ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อติดเชื้อไวรัสจะสร้าง RNA แถม RNA ของวัคซีนปลอดภัยกว่า เพราะเลือกเฉพาะส่วนเดียวที่ช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกัน ผิดกับเชื้อธรรมชาติที่จะสร้างแอนติเจนไวรัส ที่สำคัญตัว RNA ไม่มีความคงทน สามารถสลายหายไปได้ ไม่อยู่ค้างในร่างกาย" ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลต่างประเทศพบเด็กเป็นมิสซี ส่วนใหญ่อายุ 8-9 ขวบ แม้ตัวเลขพบไม่มากไม่ถึง 1% แต่ก็ต้องระวัง ส่วนของไทยมีแทบทุกช่วงอายุ 4-5 ขวบก็มี
ดังนั้น การป้องกันเกิดโรคโควิดดีกว่า ยิ่งวัคซีนที่จะมาฉีดให้เด็กเล็กอายุ 6 เดือน ใช้โดสละ 3 ไมโครกรัม ถือว่าน้อยมากๆ การฉีดจึงต้องฉีด 3 เข็ม มีระยะเวลาห่างระหว่างเข็มตามคำแนะนำ อย่างต่างประเทศพบว่า เด็กเล็กที่ฉีดมีอาการไข้ ปวดเมื่อยบ้าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้หมด แต่ไม่พบอาการรุนแรง
เมื่อถามว่า การฉีดวัคซีนโควิดในเด็กเล็กต้องห่างจากวัคซีนพื้นฐาน เช่น ไอกรน คอตีบ กี่สัปดาห์ หรือฉีดพร้อมกันได้ ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมจะพิจารณาประเด็นนี้ แต่โดยหลักไม่มีความจำเป็นต้องฉีดห่างกันเป็นสัปดาห์ จะมีรายละเอียดในประกาศของราชวิทยาลัยฯ คาดว่าจะออกประกาศไม่เกินวันที่ 13 ก.ย.
ส่วนอนาคตจำเป็นต้องฉีดให้เด็กทุกปีหรือไม่ ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีข้อมูลตรงนี้ ตอนนี้ต้องทำให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันป้องกันโควิดให้มากที่สุด ส่วนข้อกังวลเรื่องเชื้อจะกลายพันธุ์นั้น จริงๆ ร่างกายเราฉีดวัคซีนมาก่อนแล้ว แม้สายพันธุ์เปลี่ยน แต่ร่างกายรู้จักก็จะสามารถสู้ได้ แต่ตอนแรกที่ระบาด ร่างกายเราไม่รู้จักเชื้อก็ไม่สามารถสู้ได้เลย
สำหรับการฉีดในเด็กกลุ่มอายุดังกล่าวมีขนาดการใช้วัคซีนโดสละ 0.2 มิลลิลิตร (3 ไมโครกรัม) ฉีด 3 เข็ม โดยเข็ม 2 ห่างจากเข็ม 1 จำนวน 3 สัปดาห์ และเข็ม 3 ห่างจากเข็ม 2 จำนวน 8 สัปดาห์