'กบข.' ปรับพอร์ตลงทุนป้องกันความเสี่ยง ‘อัตราเงินเฟ้อโลก’ มองปีหน้า ‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง หลังถอน 'คิวอี' เร็วขึ้น
...............................
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา นางศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศอยู่ในระดับสูงและสูงกว่าประมาณการอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเหตุจากอุปสงค์ส่วนเกินในสหรัฐฯ และกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดความผ่อนคลายนโยบายการเงิน (tapering) และเปลี่ยนเป็นตึงตัว (tightening) เร็วขึ้น ซึ่งในช่วงวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC)
กบข. ได้มีการติดตามการประชุมอย่างใกล้ชิด และมองว่า Fed จะปรับท่าทีเป็นเข้มงวด (hawkish) มากขึ้น สอดคล้องกับท่าทีของนาย Jerome Powell ประธาน Fed ในการแถลงการณ์สภาวะเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้คาดว่า Fed มีแนวโน้มที่จะดำเนินการ taper เร็วขึ้นเป็นมากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน ทำให้ QE สิ้นสุดลงระหว่างไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 ตามด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางของประเทศอื่นที่สำคัญ เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ต่างมีท่าทีหยุดการผ่อนคลายหรือปรับเป็นเข้มงวดเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อระดับสูงด้วยเช่นกัน โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไป (headline CPI) ของสหรัฐฯ แตะระดับ 6.2% สูงกว่าที่ Bloomberg Consensus ได้คาดการณ์ที่ 5.9% โดยปรับสูงขึ้นตามลำดับและมากกว่าประมาณการโดยทั่วไปนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ประกอบกับในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้ประเมินว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงเกือบ 3 ครั้งภายในปีหน้า
“กบข. คาดว่า อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงจะมีความยืดเยื้ออีกนานแค่ไหนอย่างไร เราน่าจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในระยะถัดไป หรือเข้าสู่ปีหน้า ได้แก่ การพิจารณารวมถึงการปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนขาดในภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ อนึ่ง อุปสงค์ส่วนเกินที่เป็นตัวเร่ง Fed มากกว่าอุปทานส่วนขาดนั้นยังคงส่งสัญญาณต่อไปในหลายตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น ยอดค้าปลีก ยอดคำสั่งซื้อสินค้าไม่คงทน เป็นต้น อีกทั้งความไม่แน่นอนจากการกลายพันธุ์ของ Covid โดยเฉพาะสายพันธุ์ Omicron ที่อาจมีผลให้ supply disruptions ยาวนานยิ่งขึ้น
ในด้านการลงทุน กบข. มองว่าต้องให้ความสำคัญมากขึ้นต่อการถือครองสินทรัพย์และการปรับการจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อได้ ได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองแดง เป็นต้น ซึ่งเหมาะสมต่อภาวะที่อัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตของจีนอยู่ในระดับสูง หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนด้านตราสารหนี้ เน้นกลยุทธ์ที่รองรับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและกลาง” กบข.กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิก 1.14 ล้านคน ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือน ก.ย.2564 กบข.มีเงินลงทุนสุทธิ 1.1 ล้านล้านบาท ขณะที่สถานะเงินกองทุนส่วนสมาชิกของ กบข. ซึ่งมีเงินลงทุนรวม 4.65 แสนล้านบาท นั้น พบว่า 64.04% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ อีก 18.21% เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก และที่เหลือ 17.75% เป็นการลงทุนตราสารทุน