‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ประเมินผลกระทบโควิดสายพันธุ์ Omicron คาด ‘กรณีดี’ จีดีพีปีหน้าจะเติบโต 3.7% หลังได้อานิสงส์ ‘ส่งออกดี-บริโภคในประเทศฟื้น’ แต่ ‘กรณีแย่’ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.8%
..............................
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ Omicron ต่อเศรษฐกิจไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีดี แม้ไวรัสจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่หากความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ Delta และวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดหรือจำกัดระดับความรุนแรงของอาการป่วยได้ ไทยก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยปี 2565 ก็ยังน่าจะสามารถฟื้นตัวได้ที่ 3.7% เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการส่งออก การฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี ภายใต้กรณีดังกล่าว แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
ส่วนในกรณีแย่ คือ สายพันธุ์ Omicron มีความรุนแรงเทียบเท่ากับสายพันธุ์ Delta และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อความจำเป็นต้องมีการนำมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศมาใช้ อาทิ ปิดประเทศ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศตามระดับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 2.8%
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สมมติฐานในกรณีแย่ สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมก็ยังดีกว่าช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Delta ที่เริ่มในช่วงเดือน เม.ย.2564
สำหรับการประเมินทั้ง 2 กรณีดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานไว้ว่า การแพร่ะบาดของสายพันธุ์ Omicron จะบรรเทาลงในปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2565 และรัฐบาลไทยไม่มีการกู้เงินนอกงบประมาณเพิ่มเติม โดยให้ใช้วงเงินกู้ 2.6 แสนล้านบาทที่คงเหลือจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท
ด้าน น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบโควิดสายพันธุ์ Omicron ต่อตลาดท่องเที่ยวไทย พบว่า ในกรณีดีนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 น่าจะฟื้นตัวมาแตะ 4 ล้านคน จากปี 2564 ที่อยู่ที่ประมาณ 3.5 แสนคน แต่สำหรับกรณีแย่ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเหลือประมาณ 2 ล้านคน เพราะการท่องเที่ยวจะขาดช่วงไป 2-3 เดือน เนื่องประเทศต่างๆ รวมถึงไทย จำเป็นต้องยกระดับการควบคุมการเดินทาง
ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปทุกๆ 1 ล้านคน จะกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวราว 7-8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในทั้ง 2 กรณี ยังถือว่าห่างไกลจากช่วงก่อนโควิดมาก
น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มภาคการเงิน ว่า ในกรณีดี คือ ผลกระทบจากไวรัส Omicron มีจำกัด ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะทยอยลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตามแผน ขณะที่ตลาดประเมินโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปี 2565 จะมีถึง 2-3 ครั้ง ซึ่งจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐสูงกว่าไทยในช่วงปลายปี และเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในช่วงครึ่งปีแรก
ส่วนในกรณีแย่ คือ การระบาดของไวรัส Omicron จะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งจะทำให้เงินบาทในช่วงครึ่งปีแรกขาดปัจจัยหนุนและอ่อนค่ากว่ากรณีแรก โดยมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 34.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ธุรกิจควรรับมือกับภาวะที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบกว้าง เช่นเดียวกับในช่วงปี 2564 ที่เงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหว จากระดับอ่อนค่าสุดถึงระดับแข็งค่าสุด กว้างถึง 4 บาทกว่า เทียบกับปี 2563 ที่การเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 3.40 บาท และแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังไม่ปรับขึ้นในปี 2565 แต่แนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมในตลาดตราสารหนี้ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ และนักลงทุนรายย่อยไทยคงจะยังแสวงหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (Search for Yield)” น.ส.ธัญญลักษณ์กล่าว
ส่วนแนวโน้มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2565 นั้น เป็นอีกปีที่คงขับเคลื่อนด้วยความระมัดระวัง เพราะสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าสินเชื่อขยายตัวในกรอบคาดการณ์ 4.0-5.5% ชะลอตัวลงจากปี 2564 ที่สินเชื่อขยายตัวอยู่ที่ระดับ 6.0% เพราะธุรกิจสะสมสภาพคล่อง และมีผลของมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน ขณะที่หนี้เสีย (NPL) ยังเป็นขาขึ้น และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.30% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2565 เทียบกับราว 3.20% ณ สิ้นปี 2564
“แม้ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะยังมีอานิสงส์ของการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของ ธปท.อยู่ แต่ธนาคารพาณิชย์คงไม่ได้ผ่อนระดับการตั้งสำรองฯลงมากนัก ทำให้ระดับความสามารถในการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2565 ยังไม่เข้าใกล้ระดับก่อนวิกฤตโควิด” น.ส.ธัญญลักษณ์ กล่าว