นายกฯชื่นชมนักวิจัยไทย พัฒนาชุดตรวจโควิด และวัคซีนป้องกันโควิดแบบพ่นจมูกสำเร็จ เผยแม้ยังจะต้องใช้เวลาในการทดสอบผลให้แน่ชัดอีกระยะหนึ่ง แต่ถือเป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพที่ช่วยลดการนำเข้าเวชภัณฑ์ เสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข
..................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมทีมนักวิจัยไทยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้การกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ผลิตผลงานที่เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด คือ 1. ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด แบบพ่นจมูก ชนิด Adenovirus-based และ Influenza-based ซึ่งผ่านการทดสอบการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพต่อการคุ้มโรคที่เกิดขึ้น ปลอดภัยไม่มีปัญหา และ 2. ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้พัฒนา 'NANO COVID-19 Antigen Rapid Test' เป็นชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิด แบบรวดเร็ว ที่มีความไวและความแม่นยำสูงมาก
สำหรับการพัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูก พบว่าการทดสอบในหนูทดลองนอกจากไม่มีอาการป่วยแล้ว ยังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น จากนี้ จะมีการยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในมนุษย์ โดยจะร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ วางแผนทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับเชื้อโควิด สายพันธุ์เดลตา ซึ่งหากได้รับอนุมัติเร็ว คาดว่าจะเริ่มทดสอบในมนุษย์เฟสแรกปลายปี 2564 นี้ และต่อเนื่องเฟส 2 ในเดือน มี.ค.2565 หากได้ผลดีจะสามารถผลิตออกมาใช้ได้ประมาณกลางปีหน้า
ขณะที่ การพัฒนาชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิดแบบรวดเร็ว โดยศูนย์นาโนเทคนั้น มีจุดแข็งด้านการใช้งานที่สะดวก รวดเร็วสามารถตรวจหาตัวเชื้อได้ในเวลาเพียง 15 นาที มีความไว 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% ใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด เบื้องต้นได้ ช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR ลดค่าใช้จ่าย ลดภาระงานในระบบสาธารณสุข และทางศูนย์ฯกำลังเร่งผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้ประโยชน์ เพื่อให้สามรถผลิตใช้เองได้ในประเทศ ตอบสนองความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขตามนโยบายรัฐบาล
น.ส.รัชดา ยังให้ข้อมูลความก้าวหน้าของการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด ชนิด mRNA ใประเทศไทยด้วยว่า ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนี้ได้ทดสอบการฉีดวัคซีน 'ChulaCov19' ให้กับอาสาสมัครแล้ว เพื่อศึกษาประสิทธิภาพสูงสุดของปริมาณวัคซีนที่จะสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล และทีมนักวิจัย และลำดับต่อไป จะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิก ระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดจะเริ่มต้นฉีดได้ในเดือน ส.ค.นี้
"นายกรัฐมนตรีติดตามความคืบหน้าและชื่นชมในความสามารถของนักวิจัยไทย ภายใต้สถานการณ์โควิด คนไทยได้ผลิตผลงานที่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก แม้ยังจะต้องใช้เวลาในการทดสอบผลให้แน่ชัดอีกระยะหนึ่ง แต่ความก้าวหน้าต่างๆถือเป็นตัวบ่งชี้ศักยภาพของประเทศที่เราจะสามารถลดการนำเข้าเวชภัณฑ์ เสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข และที่สำคัญ ความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนสนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการ" น.ส.รัชดา กล่าว
อนึ่งก่อนหน้านี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวด้วยว่า วัคซีนโควิดแบบพ่นจมูก เป็นวัคซีนที่ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค พัฒนาขึ้นมา เพื่อให้พ่นละอองฝอยในโพรงจมูกได้ โดยผ่านเข็มฉีดพ่นยาชนิดพิเศษที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งวัคซีนไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในเยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจส่วนบนโดยตรง
ซึ่งไวรัสส่วนใหญ่รวมถึงไวรัสโคโรนาอันเป็นสาเหตุของโควิด มักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูกและก่อตัวขึ้นในโพรงจมูกก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายรวมถึงปอด จากการทดสอบพบว่าแอนติบอดีในเยื่อเมือกระบบทางเดินหายใจส่วนบน จะสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและดีกว่าวัคซีนแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ รวมถึงสามารถกระตุ้นการผลิต อิมมูโนโกลบูลินเอ (Ig A) ที่จำเพาะต่อแอนติเจน และเม็ดเลือดขาวชนิด T cell ในทางเดินหายใจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบฆ่าเชื้อ ซึ่งสามารถสกัดกั้นไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับไวรัสป้องกันการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกายและลดโอกาสที่ผู้คนจะแพร่เชื้อไวรัสต่อได้
นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ จึงถูกมองว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน ทั้งนี้จากความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. สามารถอัพเดทวัคซีนให้ตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะอุบัติขึ้นได้ไวภายใน 2-3 สัปดาห์ เพียงเท่านั้น
"ผลงานวัคซีนโควิด ที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นได้จากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากงานวิจัยโดยคนไทยทั้งหมด ผสมผสานกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทัดเทียมกับนานาชาติ ประกอบกับการจัดสรรทุนสนับสนุนการวิจัยจากรัฐบาลในการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด จากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนผลักดันวัคซีนที่พัฒนาขึ้นได้ออกไปสู่ผู้ใช้จริง นับว่าเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของการวิจัยและพัฒนาด้านวัคซีนภายในประเทศ ที่จะสามารถรับมือโรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเสริมความมั่นคงทางวัคซีนให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต" ดร.อนันต์ กล่าว
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/