เปิดรายงานผลสอบสวนดีเอสไอ ไขปมที่ดินพิพาทบ้านยายโต 25 ตรว. ถูกฟ้องขับไล่ พยานหลักฐานชัด เป็นที่ว่างเปล่า พลเมืองใช้ร่วมกันโดยสภาพ ไม่จําเป็นต้องขึ้นทะเบียนที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ แต่ไม่เข้าองค์ประกอบคดีพิเศษ ส่ง สนง.ยุติธรรม จ.สระบุรี ใช้เป็นหลักฐานสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
....................
คดีนางโต พลายชุมพล อายุ 91 ปี หรือ ‘ยายโต’ อาศัยอยู่บ้านริมคลองแม่น้ำใน ของ บ้านเกาะเหนือ (เป็นส่วนหนึ่งของ บ้านหัวถนน หรือ บ้านคลอง 33 ) เลขที่ 71 หมู่ 6 ต.หนองหมู อ.วิหารแดง จ.สระบุรี เนื้อที่ 25 ตารางวา ถูกฟ้องขับไล่และให้รื้อถอนบ้านเรียกค่าเสียหาย 50,000 บาท ผู้ฟ้องอ้างว่าบ้านของนางโตสร้างอยู่บนที่ดินของบรรพบุรุษของตนเอง กระทั่ง 12 ม.ค.2564 ศาลพิพากษาให้นางโตรื้อถอนบ้านชดใช้ค่าเสียหาย 17,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นนับจากวันฟ้อง (20 มิ.ย.2562) และให้ชำระค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทเป็นรายเดือนเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายรื้อถอนบ้าน และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ค่าทนายความ 3,000 บาท ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ของจำเลย
@ นางโต พลายชุมพล
ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุด ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของศูนย์สอบสวนคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รายงานให้สำนักยุติธรรมจังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2564 ระบุจากการตรวจสอบพยานเอกสารหลักฐาน พบว่าที่ดินพิพาทบริเวณที่ตั้งบ้านนางโต น่าเชื่อว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ที่ดินของเอกชน ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้ว
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงรายงานผลสอบสวนของศูนย์สอบสวนคดีอาญาพิเศษมารายงาน
1. เรื่องเดิม
1.1 ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 02019/060 ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งเรื่องนางโต พลายชุมพล ร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องโดยอ้างว่าถูกฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่อยู่อาศัย พื้นที่ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี มาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดําเนินการ โดยเร่งด่วน และกองบริหารคดีพิเศษได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0816/335 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งเรื่องมาให้ศูนย์สอบสวนคดีอาญาพิเศษดําเนินการตามอํานาจหน้าที่
1.2 ผู้อํานวยการศูนย์สอบสวนคดีอาญาพิเศษ (ผอ.ศสอ.) ได้มอบหมายให้เลขานุการ ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (ส.ศนธ.ทด.) ดําเนินการ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564
2. ข้อเท็จจริง
2.1 จากรายละเอียดของหนังสือตาม 1.1 พบว่า นางโต พลายชุมพล อายุ 91 ปี ถูกฟ้องขับไล่ให้ชดใช้ค่าเสียหาย 57,000 บาท โดยพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ 6 ตําบลหนองหมู อําเภอ วิหารแดง จังหวัดสระบุรี ไม่ได้อยู่ในแนวเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัด สระบุรี ของนางอนงค์ เรธมันน์ โดยอ้างว่าที่ดินที่ตนอาศัยเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ไม่ใช่ที่ดินหัวไร่ปลายนา ตามที่นางอนงค์ ฯ กล่าวอ้าง อีกทั้งโฉนดที่ดินดังกล่าวไม่มีอาณาเขตจรดแม่น้ำ ซึ่งนางโต ฯ และสามี (นายแฉล้ม พลายชุมพล) ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองใช้ประโยชน์บนที่ดินพิพาทเป็นระยะเวลานาน โดยสามีเป็น ผู้ยื่นคําขอบ้านเลขที่ที่ว่าการอําเภอวิหารแดงเมื่อปี พ.ศ. 2515 และได้ครอบครองใช้ประโยชน์โดยไม่มีเอกสาร สิทธิใด ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและไม่มีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน จนกระทั่งนางอนงค์ ฯ ได้ยื่นฟ้องขับไล่ผู้ร้องเป็นคดี แพ่งต่อศาลจังหวัดสระบุรี โดยศาลพิพากษาให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 71 หมู่ 6 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาทเส้นสีแดงในแผนที่พิพาท และห้ามจําเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 17,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 มิถุนายน 2562) จนกว่าจําเลยจะชําระ เสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จําเลยชําระค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทในอัตราเดือนละ 1,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจําเลยและบริวารจะขนย้ายรื้อถอนบ้านเลขที่ 71 ออกจากที่ดินพิพาท จึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงของที่ดินพิพาทและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลให้ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขทราบ
2.2 ศนธ. ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ประสานงานขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ หน่วยงานต่าง ๆ
2.3 ส.ศนธ. ทต. และคณะทํางานรวม 5 คน ได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด สระบุรี , เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี สาขาหนองแค เจ้าพนักงานที่ดินอําเภอวิหารแดง และเจ้าหน้าที่ สํานักงานยุติธรรมจังหวัดสระบุรี ในระหว่างวันที่ 23 - 25 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีการถ่ายภาพที่ดินและบ้านพัก การหาค่าพิกัดดาวเทียม (GPS) ในบริเวณที่ดิน และสอบถามข้อมูลรายละเอียดจากนางโต ฯ และราษฎร บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงพบข้อมูลในฤดูฝนจะมีน้ำเต็มตลิ่งแม่น้ำในและไหลหลากมายังบริเวณบ้านพักของนางโต ฯ ซึ่งมีปรากฏร่องรอยของน้ำท่วมบริเวณบ้านพักอาศัย
2.4 จากรายละเอียดของโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 หน้าสํารวจ 2579 เลขที่ดิน 190 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 4-0 - 00 ไร่ ออกเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 โดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 3023 (7118) หน้าสํารวจ 325 (124) เลขที่ดิน 5 (78) ตําบลบ้านพริก (หนองหมู) อําเภอบ้านนา (วิหารแดง) จังหวัดนครนายก (สระบุรี) เนื้อที่ 20 - 1 - 08 ไร่ ออกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2467 โดยมีรูปแผนที่เดิมดังนี้
ทิศเหนือ จด เลขที่ดิน 22
ทิศใต้ จุด คลองซอยที่ 33
ทิศตะวันออก จด เลขที่ดิน 4
ทิศตะวันตก จด แม่น้ำใน, เลขที่ดิน 8
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดแปลงนี้รวม 4 คน ,ประกอบด้วย 1. นางพิชญาน์ เรืองศรีสังข์ 2. นางรัตนา ศรีปัญญาพร 3. นางอนงค์ เรตมันน์ และ 4. นายเศรษฐา สุขเจริญ ได้นํารังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โดยผลการรังวัดเจ้าของที่ดินข้างเคียงมารับรองแนวเขตที่ดินไม่ครบ ทุกด้านโดยแนวเขตที่ดินด้านแม่น้ำใน ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 2 สาขาลพบุรี ไม่มาชี้แนวเขตซึ่ง ช่างรังวัดได้ดําเนินการตามกฎกระทรวงฉบับที่ 31 (พ.ศ. 2521) ข้อ 2 ในการรังวัดผู้ขอรังวัดและเจ้าของที่ดิน ข้างเคียงนำรังวัดตามเขตครอบครอง คํานวณเนื้อที่ทางพิกัดฉากได้เนื้อที่เป็น 20 - 1 - 80 ไร่ มากกว่าเนื้อที่เดิม 0 - 0 - 72 ไร่ สอบสวนแล้ว ไม่มีการสมยอมแนวเขตกันแต่อย่างใด และการลงที่หมายในระวางไม่ทับที่สาธารณประโยชน์แต่อย่างใด ได้จดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมได้ออกเป็นโฉนดที่ดิน 4 แปลง ดังนี้
1. โฉนดที่ดินเลขที่ 6099 เลขที่ดิน 188 เนื้อที่ 3 - 0 - 60 ไร่ ให้แก่นางพิฐชญาน์ เรืองศรีสังข์
2. โฉนดที่ดินเลขที่ 6100 เลขที่ดิน 189 เนื้อที่ 3 - 1 - 20 ไร่ ให้แก่นายเศรษฐา สุขเจริญ
3. โฉนดที่ดินเลขที่ 6100 เลขที่ดิน 189 เนื้อที่ 4 - 0 - 00 ไร่ ให้แก่นางอนงค์ เรธมันน์
ส่วนโฉนดที่ดินแปลงเดิมคงเหลือเนื้อที่ 10 - 0 - 00 ไร่ เป็นของนางรัตนา ศรีปัญญาพล
อนึ่ง ในวันทําการรังวัด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง ผู้แทน นายอําเภอได้มาระวังชี้และรับรองแนวเขตที่ดินด้านแม่น้ำในแล้ว ซึ่งสํานักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี สาขาหนองแค ได้มีหนังสือ ที่ สบ 0020.02(3)/6582 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2559 แจ้งให้นายกองค์การบริหารส่วนตําบล หนองหมู ตรวจสอบแนวเขตด้านแม่น้ำในว่าตามที่ผู้ขอได้นํารังวัดปักหลักเขตเป็นการถูกต้องหรือเหลื่อมล้ำแนวเขต แม่น้ำในหรือไม่ เพื่อลงนามรับรองแนวเขตหรือคัดค้านแนวเขตภายใน 30 วัน โดยหากไม่ดําเนินการภายใน กําหนดเวลาพนักงานเจ้าหน้าที่จะดําเนินการแก้ไขรูปแผนที่หรือเนื้อที่ให้แก่ผู้ขอโดยไม่ต้องมีการรับรอง แนวเขตที่ดินตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเมื่อครบกําหนดประกาศไม่มีการโต้แย้งคัดค้าน แต่อย่างใด เจ้าพนักงานที่ดินจึงสั่งการให้แก้ไขรูปแผนที่หรือเนื้อที่ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2559
2.5 จากระวางแผนที่ออกโฉนดที่ดิน 5137/1078 ของสํานักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี สาขาหนองแค พบว่ามีการลงรูปแผนที่ของโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ทางด้านทิศตะวันตกที่ติดกับแม่น้ำใน มีการแก้ไข รูปแผนที่ของโฉนดที่ดินแปลงเดิม (7118) ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันโดยมีอาณาเขตร่นเข้ามาจากรูปแผนที่เดิม โดยใช้รูปแผนที่ที่ทําการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559
2.6 จากคําพิพากษาศาลจังหวัดสระบุรี ความแพ่ง ระหว่างนางอนงค์ เรธมันน์ โจทก์ นางโต พลายชุมพล จําเลย คดีหมายเลขดําที่ พ 545/2562 คดีหมายเลขแดงที่ พ. 1/2564 เรื่องขับไล่ เรียกค่าเสียหาย สรุปได้ว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี แบ่งแยก มาจากโฉนดที่ดิน เลขที่ 7118 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเดิมคือโฉนดที่ดินเลขที่ 3023 ตําบลบ้านพริก อําเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดยเป็นที่ดินของบรรพบุรุษโจทก์ โดยโจทก์และพี่น้องได้รับมรดก เมื่อมีการรังวัดแบ่งแยกเป็นสัดส่วนบ้านเลขที่ 71 ของจําเลยอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินตรงเส้นสีแดงในแผนที่ พิพาท โดยในการนํารังวัดเจ้าหน้าที่กรมชลประทานไม่มาระวังชี้แนวเขตที่ดินเจ้าหน้าที่ที่ดินเกรงว่าแนวเขต ที่ดินที่นําชี้จะทับซ้อนกับแนวเขตที่ดินของกรมชลประทานจึงออกโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ตามรูปแผนที่ ซึ่งบ้านของโจทก์ปลูกสร้างก่อนรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมก็อยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในพื้นที่ที่บรรพบุรุษครอบครอง นอกจากนี้รูปแผนที่โฉนดที่ดินเลขที่ 7118 ไม่ปรากฏมีที่ดิน เสาธารณประโยชน์หรือที่ดินของบุคคลอื่นคั่นระหว่างที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 กับแม่น้ำใน ที่ดินพิพาท ที่ปลูกสร้างบ้านจําเลยไม่ใช่ที่ดินของกรมชลประทานหรือที่ดินสาธารณประโยชน์ รับฟังได้ว่าจําเลยปลูกสร้าง บนที่ดินของโจทก์ พิพากษาให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 71 หมู่ 6 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาทเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทและห้ามจําเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 17,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 มิถุนายน 2562) จนกว่าจําเลยจะชําระเสร็จสิ้น แก่โจทก์ และให้จําเลยชําระค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทในอัตราเดือนละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจําเลยและบริวารจะขนย้ายรื้อถอนบ้านเลขที่ 71 ออกจากที่ดินพิพาท
2.7 จากรูปแผนที่พิพาทที่จัดทําให้ศาลจังหวัดสระบุรีพบว่า นางอนงค์ ฯ โจทก์ ได้นํา รังวัดตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ได้เนื้อที่ประมาณ 4 - 1 - 23 ไร่ (เส้นสีดํา) ส่วนนางโต ฯ จําเลยนํารังวัดในที่ดินที่ครอบครองได้เนื้อที่ประมาณ ๐ - ๐ - 25 ไร่ (เส้นสีแดง) โดยพบว่าที่ดินในส่วนที่นางโต ฯ นํารังวัดอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของนางอนงค์ ฯ
ข้อพิจารณา
กรณีนี้เป็นเรื่องที่นางโต ฯ ได้ร้องขอความเป็นธรรมถูกฟ้องขับไล่รื้อถอนบ้านเลขที่ 71 หมู่ 6 ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาท และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 17,000 บาท โดยขณะนี้อยู่รอหว่างยื่นขออุทธรณ์ต่อศาลภายในกําหนดเวลา เมื่อพิจารณาจากคําพิพากษาศาลชั้นต้นพบว่าบ้านเลขที่ 71 ของนางโต ฯ อยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6101ตําบลหนองหมู อําเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี แต่อยู่ในพื้นที่ที่บรรพบุรุษครอบครองเจ้าของที่ดินเดิม เมื่อพิจารณาจากรูปแผนที่โฉนดที่ดินเลขที่ 7118 ไม่ปรากฏมีที่ดินสาธารณประโยชน์หรือที่ดินของบุคคลอื่น คั่นระหว่างที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 กับแม่น้ำใน ที่ดินพิพาทที่ปลูกสร้างบ้านของนางโต ฯ ไม่ใช่ที่ดิน ของกรมชลประทานหรือที่ดินสาธารณประโยชน์ เชื่อได้ว่านางโต ฯ ปลูกสร้างบ้านดังกล่าวบนที่ดินของผู้อื่น เห็นได้ว่าจากคําพิพากษาของศาลชั้นต้นมีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือโฉนดที่ดินแปลงนี้มีอาณาเขตติดแม่น้ำใน หรือไม่ อย่างไร
จากรูปแผนที่โฉนดที่ดินเดิมเลขที่ 3023(7118) หน้าสํารวจ 325 (124) เลขที่ดิน 5 (78) ตําบลบ้านพริก (หนองหมู) อําเภอบ้านนา (วิหารแดง) จังหวัดนครนายก (สระบุรี) เนื้อที่ 20 - 1 - 08 ไร่ ออกเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2467 พบว่าด้านทิศตะวันตกจดแม่น้ำใน ต่อมาเมื่อมีการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์ รวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 พบว่าต้านทิศตะวันตกของโฉนดที่ดินแปลงนี้ก็ยังคงติดแม่น้ำในเช่นเดียวกัน แต่จากสภาพความเป็นจริงในการลงตรวจสอบพื้นที่พบว่ามีการก่อสร้างถนนคอนกรีตด้านทิศตะวันออกเลียบแม่น้ำใน กว้างประมาณ 4 เมตรตลอดแนวเขตที่ดิน และมีการปักหลักเขตที่ดินห่างจากกึ่งกลางถนนเลียบแม่น้ำใน ทางประมาณ 10 เมตร ทําให้มีที่ดินว่างอยู่บริเวณระหว่างชายตลิ่งแม่น้ำในตามสภาพความเป็นจริงกับหลักเขตที่ดิน ตลอดแนวของโฉนดที่ดินเลขที่ 7118 โดยบ้านเลขที่ 71 ของนางโต ฯ ก็อยู่ในบริเวณที่ดินว่างดังกล่าว จึงมีข้อพิจารณาว่าที่ดินว่างดังกล่าวเป็นอาณาเขตของโฉนดที่ดินเลขที่ 7118 หรือไม่ อย่างไร
เมื่อพิจารณา จากรายงานการรังวัดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 เห็นได้ว่าหน่วยงานที่มีอํานาจดูแลรักษาแม่น้ำใน (นายอําเภอวิหารแดงและองค์การบริหารส่วนตําบลหนองหมู) โดยผู้แทนนายอําเภอวิหารแดง ได้ลงนาม รับรองแนวเขตของแม่น้ำในตามหลักเขตที่ดินที่ได้มีการปักไว้ในที่ดินซึ่งห่างจากชายตลิ่งแม่น้ำประมาณ 15 เมตร ส่วนนายกองค์การบริหารส่วนตําบลหนองหมูไม่ลงนามรับรองแนวเขตแต่ไม่คัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด ถือว่าได้รับรองแนวเขตที่ดินดังกล่าวแล้ว ต่อมาจึงได้มีการแก้ไขรูปแผนที่ และเนื้อที่ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินโดยมีเนื้อที่เป็น 20 - 1 - 80 ไร่ มากกว่าเดิม 0-0-72 ไร่ ไม่มีการสมยอมแนวเขตที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายกัน เหตุที่เนื้อที่แตกต่างกันเนื่องจากเป็นการครอบครอง และคํานวณเนื้อที่ต่างวิธีกัน เมื่อนํารูปแผนที่หลังโฉนดที่ดินเดิมและรูปแผนที่จากการรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม มาทับซ้อนกันไม่ปรากฏมีที่ว่างแต่อย่างใด จึงเชื่อได้ว่าแม่น้ำในอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของโฉนดที่ดินดังกล่าวจริง และมีอาณาเขตตรงตามที่ผู้มีอํานาจดูแลรักษาได้รับรองแนวเขตที่ดินไว้
แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งคือจากการลงที่หมายในระวางแผนที่ออก โฉนดที่ดิน ระวางที่ 5137 | 1079 พบว่า มีการรูปแปลงที่ดินที่การรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 และขีดฆ่าเส้นเขตโฉนดที่ดินเดิมด้านติดแม่น้ำในทางทิศตะวันตกด้วยอักษร S และใช้เส้นเขต ที่ดินใหม่ ทําให้ปรากฏมีที่ดินว่างอยู่ระหว่างรูปแผนที่โฉนดที่ดินเดิมกับรูปแผนที่ที่มีการรังวัดใหม่ ซึ่งที่ดินว่าง - บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 71 ของนางโต ฯ ในสภาพพื้นที่จริงสอดคล้องกับรูปแผนที่พิพาทที่จัดทําให้ ศาลจังหวัดสระบุรีประกอบการพิจารณาว่าบริเวณที่ดินของนางโต ฯ อยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 ตามคําพิพากษาว่าบริเวณที่ดินดังกล่าวอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 6101 แต่อยู่ในพื้นที่ที่บรรพบุรุษ ของเจ้าของที่ดินเดิมครอบครอง .
ดังนั้น จึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินว่างซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 71 เป็นที่ดิน ของผู้ใด เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้วน่าเชื่อได้ว่าที่ดินว่างบริเวณดังกล่าวคือแม่น้ำใน ซึ่งเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ประเภทพลเมือง ใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยอยู่ในอํานาจการดูแลของนายอําเภอท้องที่ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ประกอบกับระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. 2553 เมื่อผู้แทนนายอําเภอวิหารแดงได้ลงนามรับรองแนวเขตที่ดินแล้วตามอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบแล้วแสดงให้เห็นว่าได้ระวังและรับรองแนวเขต ที่ดินของแม่น้ำในอยู่บริเวณโฉนดที่ดินที่มีการรังวัดใหม่ ถึงแม้ว่าสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งอาจเกิดจากการสงวนหวงห้ามเอาไว้เพื่อประโยชน์ในการคมนาคมของประชาชนในพื้นที่ในอดีต ที่ใช้เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำในก็ได้ สอดคล้องกับรูปแผนที่ต่าง ๆ ที่มีการรังวัดที่ไม่ปรากฏว่าด้านทิศตะวันตก ของโฉนดที่ดินมีทางสาธารณประโยชน์แต่อย่างใด แต่ติดกับแม่น้ำใน ซึ่งปัจจุบันบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีการก่อสร้าง เป็นถนนคอนกรีตกว้างประมาณ 4 เมตร ตลอดแนวเขตที่ดินและใช้เป็นคันกันน้ำในฤดูฝนเพื่อป้องกันน้ำไหลหลากด้วย ซึ่งหากมีการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตโดยใช้เงินงบประมาณของแผ่นดิน หากได้สร้างลงบนที่ดินส่วนบุคคล ต้องมีการจ่ายเงินค่าทดแทนเวนคืนให้กับเจ้าของที่ดินดังกล่าว และมีประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์ในการคมนาคม บนถนนเส้นนี้มาเป็นระยะเวลานาน จึงเชื่อได้ว่า เป็นทางสาธารณประโยชน์เลียบแม่น้ำใน และประเด็นที่สําคัญ คือคําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิจารณาว่าที่ดินแปลงพิพาทของนางโต ฯ อยู่นอกแนวเขตโฉนดที่ดิน แต่อยู่ในพื้นที่ ที่บรรพบุรุษของเจ้าของที่ดินเดิมครอบครอง แสดงว่าบรรพบุรุษของเจ้าของที่ดินเดิมไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ ในบริเวณที่ดินส่วนนี้ เพราะเขตแดนกรรมสิทธิ์อยู่เฉพาะในโฉนดที่ดินเดิมเท่านั้นบริเวณที่ดินว่างนี้จึงไม่ใช่ที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด เมื่อไม่ใช่ที่ดินของเอกชนจึงเป็นที่ดินของรัฐ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วจึงเห็นว่า ที่ดินว่างนี้เป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันและเนื่องจากเป็นการใช้ประโยชน์โดยสภาพ จึงไม่จําเป็นต้องขึ้นทะเบียนที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเอาไว้แต่อย่างใดและสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ที่ฤดูฝนมีน้ำท่วมถึงจึงเป็นที่สาธารณประโยชน์โดยสภาพอย่างชัดเจน
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทั้งหมด น่าเชื่อได้ว่าที่ดินบริเวณที่ตั้งบ้านของนางโต ฯ เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ไม่ใช่ที่ดินของเอกชนแต่อย่างใด และเนื่องจาก เป็นกรณีเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไม่ใช่การร้องขอให้ดําเนินคดีอาญาตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดประกอบกับ ไม่เข้าลักษณะของคดีพิเศษตามมาตรา 21 แต่อย่างใด แต่เพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรม จึงเห็นควร ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่อาจเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
ต้องติดตามผลกันต่อไป
เรื่องเกี่ยวข้อง:
ผลสอบดีเอสไอ ที่ดินบ้านยายโตถูกฟ้องขับไล่ ไม่ใช่ที่ของเอกชน
แยกฟ้องคู่กรณีเบิกความเท็จ! ทนาย 'ยายโต' ขยายเวลาอุทธรณ์สู้คดีขับไล่บ้านแล้ว
เปิดหลังโฉนด คดีฟ้องขับไล่‘ยายโต’ แบ่ง 4 แปลงปี 2559 เนื้อที่ครบ 20-1-80 ไร่
คดีบ้านยายโต ถึงผู้ว่าฯ สระบุรี แล้ว! สั่งประสาน 'ยุติธรรม-ที่ดิน-DSI' หาหลักฐานช่วย
เปิดภาพแผนที่พิพาท คดีฟ้องขับไล่บ้านยายโต 25 ตร.ว.อยู่นอกโฉนดที่ดิน 4 ไร่โจทก์
(คลิป) เลาะริมคลองแม่น้ำใน ดูบ้าน 'ยายโต' ถูกฟ้องขับไล่ที่-ชดใช้ 5.7 หมื่น
'ทวี สอดส่อง' รุดช่วยยายโตโดนฟ้องขับไล่ที่ - ประสานยุติธรรมสระบุรีช่วยเหลือเชิงรุก
มั่นใจสู้ได้! 'อัจฉริยะ' ยกทีมช่วยยายโตแก้คดีชั้นอุทธรณ์ - ชี้ช่องโหว่หลักฐานอ่อนทำแพ้
ฉบับเต็ม! คำพิพากษาคดีฟ้องขับไล่ ยายวัย 91 ปี รื้อถอนบ้าน-จ่ายค่าเสียหาย 17,000 บาท
ยายโต วัย 91 ปี บ้านหลังเก่าริมคลอง ถูกฟ้องขับไล่ ชดใช้ 57,000 บาท
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage