
การจะกำจัดปัญหาโดยอาศัยเพียงความดี ของบุคคลที่เป็นฝ่ายตรวจสอบเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันและทุนสีเทาได้อย่างยั่งยืน แต่ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดช่องว่างสำหรับการทุจริต รวมถึงการสร้างรัฐบาลที่มั่นคงเพื่อผลักดันการปฏิรูปนี้ให้สำเร็จ
การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 8 ก.พ. 2569 แต่ละพรรคการเมืองก็เริ่มจะคิดเรื่องของนโยบายที่จะหาเสียงกันแล้ว
อย่างไรก็ตามหนึ่งในปัญหาสำคัญเกี่ยวกับประเทศไทย ที่เป็นที่วิจารณ์กันก็คือเรื่องของการขาดธรรมาภิบาล ซึ่งแน่นอนว่าคำนี้เป็นคำที่กว้างมาก หรือให้เจาะลึกลงไปอีกก็คือปัญหาเรื่องการทุจริต ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และปัญหาทุนเทาที่เริ่มเข้ามาใกล้ชิดอำนาจรัฐในหลายภาคส่วน
ดังนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้ไปสัมภาษณ์แกนนำและโฆษกพรรคการเมือง 4 พรรคได้แก่ได้แก่ ประชาธิปัตย์,ประชาชน,ภูมิใจไทย และเพื่อไทยว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น พรรคเหล่านี้จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ในบริบทที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป มีรายละเอียดดังนี้
@ปชป. ย้ำหลักการรีแบรนด์ตัวเอง ให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมควบคู่ใช้เทคโนโลยีปราบโกง
ด้านนายจิรวัฒน์ จังหวัด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงนโยบายเรื่องธรรมาภิบาลและการปฏิบัติเอาไว้ว่า ในด้านความโปร่งใสและการตรวจสอบได้: พรรคจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและติดตามการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสสูงสุด
โดยพื้นฐานของพรรคนั้น ธรรมาภิบาลเป็นหลักการสำคัญที่ฝังรากลึกในโครงสร้างพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด โดยพรรคยืนยันว่าเป็นพรรคของประชาชน ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง สาระสำคัญก็คือว่าจะต้องมีการดำเนินการด้วยความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วม: ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนานโยบาย รวมถึงกระจายนโยบายหลักสู่ผู้สมัครในแต่ละพื้นที่
พรรคเน้นการ "รีเฟรช" และ "รีแบรนด์" โดยเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองเข้ามามีส่วนร่วม เช่น แอดมินเพจโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย(เพจโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย เป็นเพจของนายจิรวัฒน์ ซึ่งมักใช้พื้นที่สื่อสารความรู้ทางวิศวกรรมและการพัฒนาเมือง)
ส่วนการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ก็มีการเปิดกว้างให้ผู้ที่ต้องการเป็น ส.ส. ของพรรคแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกับหัวหน้าพรรคและผู้คัดเลือกในแต่ละเขต เพื่อค้นหาบุคคลที่มีคุณภาพ
โดยสิ่งที่พรรคทำ ณ เวลานี้ ในเรื่องความน่าเชื่อถือ (Credibility) พรรคได้ทำให้เห็นจากการดำเนินการเปิดโปง "ทุนสีเทา" ซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับและการยึดทรัพย์โดย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
นายจิรวัฒน์กล่าวต่อไปว่าพรรคตระหนักดีว่าแม้จะมีช่วงเวลาที่พรรคหายไปจากการรับรู้ ทำให้จุดขายเรื่องของการมีธรรมาภิบาลของพรรคนั้นดูจะมีช่องว่างตามไปด้วย แต่พื้นฐานและเจตนารมณ์ดั้งเดิมยังคงอยู่ โดยพรรคต้องการ "รีเฟรช" ความทรงจำของประชาชนว่าพรรคยังคงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้
สำหรับตัวอย่างเรื่องการมีธรรมาภิบาลของพรรคในอดีต ก็อย่างเช่นโครงการในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่มีการกระจายเงินในรูปแบบคูปองให้กับผู้มีประกันสังคม เพื่อสร้างความเท่าเทียมและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม
ส่วนที่พรรคจะดำเนินการต่อไปในอนาคต ก็จะเป็นในเรื่องของการปรับปรุงช่องทางการแจ้งทุจริตและการต่อต้านการทุจริตยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยี: นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการรับเรื่องร้องเรียนการทุจริต โดยสามารถแจ้งข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน และพัฒนาระบบในการตรวจจับการทุจริตด้วยตนเอง
สำหรับความร่วมมือกับภาคประชาสังคม ทางพรรคยินดีเข้าร่วมโครงการต่อต้านการทุจริตกับภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและขับเคลื่อนร่วมกัน เรื่องการแก้ปัญหาทุนสีเทา ตามที่เคยได้พูดแล้วว่าพรรคกำลังดำเนินการเรื่องนี้ เพราะการเปิดโปงทุนสีเทาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเงินทุนเหล่านี้มักเชื่อมโยงกับการเมืองและการเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การที่ประเทศถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนต่างๆได้
โดยเรื่องของทุนเทาต้องยอมรับว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะมีตัวอย่างแล้วว่าสภาอุตสาหกรรมฯเคย ชี้ว่าการทุจริตและเงินทุนสีเทามีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลออกของเงินและทองคำจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การแก้ปัญหากฎหมายที่ไม่ทันสมัย เรื่องนี้ปัญหาคือปัจจุบันกฎหมายยังไม่ทันต่อรูปแบบธุรกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี ทางพรรคก็ได้เน้นว่าจะต้องมีการปรับปรุงเช่นกัน โดยเป้าหมายของพรรคก็คือจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นแกนหลักในการจัดการกับการทุจริตและเงินสีเทา โดยมุ่งเน้นการติดตามการไหลเข้าและออกของเงิน เพื่อป้องกันปัญหาที่ต้นทางของทุนเทา ณ เวลานี้

จิรวัฒน์ จังหวัด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
@ปชน.เน้นใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ เปิดเผยข้อมูล ให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาชน ได้กล่าวถึงนโยบายของพรรคที่มุ่งเน้นการส่งเสริมธรรมาภิบาลและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐ หากได้เป็นรัฐบาล โดยสาระสำคัญ คือต้องพูดถึงความหมายของธรรมาภิบาล (Good Governance) ก่อน เพราะมันกินความหมายกว้าง ครอบคลุมการบริหารจัดการภาครัฐในหลายส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน.
โดยนโยบายหลักเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลและปราบปรามการทุจริต นั้น ทางพรรคจะต้องมีการดำเนินการปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพิ่มความโปร่งใส ลดช่องโหว่ที่นำไปสู่การทุจริต เช่น การจัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจง ส่งเสริมการแข่งขันในการประมูล. เปิดเผยข้อมูลตลอดช่วงสัญญา ก่อน, ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการ รวมถึงการแก้ไขสัญญาและความคืบหน้าโครงการ.
การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) โดยจะต้องกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลภาครัฐ 25 ชุด เช่นการจัดซื้อจัดจ้าง, สัญญาสัมปทาน, ใบอนุญาต เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบได้.
การปฏิรูปกระบวนการขอใบอนุญาต อาทิ การลดจำนวนใบอนุญาตที่ต้องขอเพื่อให้ภาครัฐดำเนินการ เพราะจะเพิ่มความสะดวก การนำระบบ Auto-approve หรือการหลักการอนุญาตโดยปริยาย เมื่อเกินกำหนดระยะเวลาตามคำขอ และการนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อลดโอกาสการจ่ายเงินใต้โต๊ะ.
สำหรับการใช้ AI ตรวจจับการทุจริต ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้จะต้องมีการฝึกฝน AI ให้วิเคราะห์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ เพื่อระบุโครงการที่มีความเสี่ยงสูงต่อการทุจริต และป้องกันก่อนที่จะเกิดขึ้น
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อถึงประเด็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยเพื่อจะรองรับกับระบบ AI ว่าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของไทยยังไม่พร้อม เพราะข้อมูลถูกจัดเก็บแยกกัน ต่างหน่วยงาน ต่างรูปแบบ และต่างมาตรฐาน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลหลายส่วนเข้าด้วยกัน เช่น ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ราคาประมูล ราคากลาง กับข้อมูลบริษัทผู้ชนะประมูล ผู้ถือหุ้น กรรมการ และบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อตรวจสอบการฮั้วประมูลและความสัมพันธ์ ของบุคคลในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
น.ส.ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้ายถึงผลงานของพรรคที่ผ่านมา ในฐานะฝ่ายค้านว่า ทางพรรคได้มีการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตหลายฉบับ แต่หลายฉบับยังไม่ผ่านการพิจารณาในสภา
แต่พรรคก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ "Auto-approve" สำหรับใบอนุญาตที่มีความเสี่ยงไม่สูงหากยื่นครบตามกำหนดและไม่ได้รับอนุญาตในเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าได้รับอนุญาต นอกจากนี้พรรคยังได้ทำหน้าที่ตรวจสอบและเปิดโปงการทุจริตหลายเรื่อง ซึ่งหลายเรื่องอยู่ในชั้นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยกตัวอย่างกรณี คดีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่พรรคตรวจสอบพบนอมินีรับงานภาครัฐ นำไปสู่การหลุดจากตำแหน่งของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาชน
@ภูมิใจไทยชี้เทคโนโลยีจำเป็น แต่มนุษย์ผู้ใช้งานสำคัญที่สุด
ส่วนนายไชยชนก ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหรือกระทรวงดีอี จากพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงบทบาทการทำงานที่เกี่ยวข้องการกับส่งเสริมธรรมภิบาลว่า ส่วนตัวจะขอพูดถึงรายละเอียดการนำเอาเทคโนโลยีมาเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใส จากบทบาทของตัวเองที่ทำหน้าที่ในการเป็นรัฐมนตรีว่าต้องขอเรียนว่าการใช้เทคโนโลยีนั้นเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น แต่เจตจำนงและความเป็นผู้นำจากมนุษย์ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
โดยความสำคัญของความโปร่งใสในหน่วยงานกำกับดูแลและผู้บังคับใช้กฎหมาย: กลุ่มผู้กำกับดูแล (regulator) และผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีการตรวจสอบและกระบวนการทำงานที่โปร่งใส ชัดเจน
หากขาดความโปร่งใสจะทำให้เกิดช่องโหว่และความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา อาจทำให้การจัดการปัญหาไม่ถึงที่สุด หรือเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดเตรียมตัวหรือไหวตัวทันได้
หน่วยงานเหล่านี้ควรเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อสาธารณะ เช่น สถานะของคดี ใครรับเรื่อง ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ ยกเว้นข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลละเอียดอ่อนทางคดี ไม่ต่างกับหน่วยงานด้านจัดซื้อจัดจ้างที่ควรจะต้องเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมให้ประชาชนมาตรวจสอบด้วย
ยกตัวอย่างเช่นสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรเปิดเผยข้อมูลการทำสัญญาระหว่างโอเปอเรเตอร์ไทยกับต่างประเทศ ซึ่งไม่ควรเป็นความลับทางการค้า แต่ควรเปิดเผยเพื่อประโยชน์สาธารณะ
โดยผู้ที่มีหน้าที่ออกกฎระเบียบและบังคับใช้กฎหมายทุกคนควรมีความโปร่งใสมากกว่านี้ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการชี้แจง แต่มาจากข้อมูลที่ชัดเจน
นายไชยชนกกล่าวว่าสำหรับบทบาทของเทคโนโลยีในการเสริมสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับ ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ระบบทุกอย่างโปร่งใสขึ้น เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง ควรมีฐานข้อมูลที่เข้าถึงได้และโปร่งใส
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน เช่น การล็อกอินเพื่อกรอกข้อมูล การทำงบประมาณ การแต่งตั้งโยกย้าย จะช่วยให้สามารถติดตามและระบุตัวผู้กระทำผิดได้ (tracking & tracing)
การตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยระบบออนไลน์สามารถติดตามได้ง่ายกว่า ต่างจากการใช้เงินสด แม้แต่ในกรณีของคริปโตเคอร์เรนซีที่เคยถูกใช้ในทางที่ผิด ก็พบว่าสามารถตามรอยได้
การมีระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (traceability) จะนำไปสู่ความรับผิดชอบ (accountability) และทำให้ผู้กระทำผิดต้องคิดมากขึ้นก่อนทำสิ่งผิดกฎหมายว่าจะทำผิดดีหรือไม่ เพราะว่าทำผิดแล้วมีโอกาสที่จะโดนตรวจสอบ สาวมาถึงตัวเองได้ง่ายมากกว่าเดิม
รัฐมนตรีกระทรวงดีอีกล่าวอีกว่าสำหรับการ การจัดการกับ "ทุนสีเทา" ที่มีการพูดกันนั้น มันเป็นเรื่องของเทคโนโลยี กับ เจตจำนงของมนุษย์ด้วย ยอมรับว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยแก้ปัญหาทุนสีเทาได้ หากทุกคนให้ความร่วมมือ เพราะจะมีการเก็บประวัติและตรวจสอบเส้นทางต่างๆ ได้หมด เงินไปไหนมาไหน ใครเกี่ยวโยงกับทุนสีเทาบ้าง
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเป็นเพียง "อุปกรณ์เสริม" เท่านั้น ต้องใช้มนุษย์เข้ามาเป็นองค์ประกอบตรงนี้ด้วย เพราะในปัจจุบันมีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอที่จะจัดการกับทุนสีเทาได้มากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ "คน" และ "เจตจำนง" ที่อยากจะทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง รวมถึงความชัดเจนของผู้นำและนโยบายของหน่วยงานทั้งหมด
โดยการจัดการกับทุนสีเทาไม่จำเป็นต้องรอการอัปเกรดเทคโนโลยี แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ที่จะสามารถดำเนินการได้ ดังเช่นของกรณีที่ไม่นานมานี้ ทางกระทรวงดีอีได้มีการยกเลิกนโยบายบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ที่เป็นปัญหากับบริษัทที่มีข้อครหา นี่ก็สิ่งที่เราได้พยายามดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา แม้ว่าเรามีเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ต้องการความต่อเนื่องของที่ที่มีการกำหนดนโยบายด้วยว่าตั้งใจที่จะทำต่อเนื่องหรือไม่

ไชยชนก ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหรือกระทรวงดีอี จากพรรคภูมิใจไทย
@เพื่อไทยยืนยันเทคโนโลยีแก้จุดอ่อน มนุษย์ได้ เพราะคนดีก็มีโอกาสพลาด
ขณะที่นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงบทบาทของพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงบทบาทของพรรคในการต่อสู้กับขบวนการคอลเซ็นเตอร์และปัญหา "ทุนสีเทา" รวมถึงการคอร์รัปชัน โดยเสนอเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างความโปร่งใสและแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างยั่งยืน
นายศึกษิษฏ์กล่าวว่าสำหรับบทบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมากับการต่อสู้กับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ จุดเริ่มต้นและการค้นพบแหล่งที่มานั้นเดิมทีรัฐบาลเพื่อไทยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาภายในประเทศ แต่พบว่าแหล่งที่มาหลักของการโทรหลอกลวงมาจากต่างประเทศเริ่มแรกเราจึงมุ่งเป้าไปที่เมียนมา โดยมีการตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่ที่พบขบวนการ ซึ่งส่วนใหญ่เล็งกลุ่มเป้าหมายชาวจีนและอินเดียต่อมาพบว่าที่กัมพูชาเป็นแหล่งสำคัญของคอลเซ็นเตอร์ที่มุ่งเป้าหลอกลวงคนไทย
โดยความขัดแย้งกับกัมพูชาที่เรามี ณ เวลานี้ ก็เริ่มมาจากความพยายามในการตัดน้ำตัดไฟและปราบปรามในกัมพูชา ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ เพราะมีการชี้เป้าอาคาร 25 ชั้น ในกัมพูชาว่าเป็นศูนย์กลางของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง
กลับมาที่มาตรการภายในประเทศในการแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวง เราก็ดำเนินการเช่นการจำกัดการซื้อซิมการ์ด โดยกำหนดให้ผู้ซื้อซิมเกิน 10 ซิมต้องมีการสำแดงข้อมูล
ส่วนการแก้ปัญหาทุนสีเทาและการคอร์รัปชัน ,ทุนสีเทาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารภาครัฐ โดยผ่านการบริจาค หรือใช้ "นอมินี" ในการรับงานของรัฐ ซึ่งแม้แต่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตเองก็อาจพลาดหรือเกี่ยวข้องกับทุนสีเทาได้ ดังที่เราได้เห็นตามข่าวแล้วว่ามีกรณีที่หน่วยงานตรวจสอบกลายเป็นคู่สัญญากับบริษัทที่มีข้อครหาเรื่องการใช้นอมินี เรื่องนี้คิดว่าการแก้ปัญหาพวกนี้สามารถทำได้ด้วยการใช้เทคโนโลยี
โดยหลักการก็คือว่าต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้มากที่สุด การระบบเปิด การอัพทุกอย่างขึ้นไปบนคลาวด์ หรือ Open Data และ Cloud System หมายความว่าการทำให้ข้อมูลทุกอย่างอยู่บนระบบคลาวด์และเป็น Open Data ที่สาธารณะเข้าถึงได้ง่าย เช่น เอกสารราชการ การจัดซื้อจัดจ้าง
สิ่งนี้จะช่วยลดโอกาสที่ทุนสีเทาจะเล็ดลอดเข้ามา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สำหรับการใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับนอมินีและบริษัทที่น่าสงสัย:
การมีระบบจะสามารถช่วยตรวจจับแพทเทิร์นที่ผิดปกติได้ เช่น บริษัทนอมินีที่มีชื่อซ้ำกัน หรือบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งไม่นานแต่ได้งานภาครัฐมูลค่าสูงเป็นต้น นอกจากนี้เทคโนโลยีสามารถสกรีนข้อมูลเบื้องต้น ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปตรวจสอบในเชิงลึกได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ควบคู่ไปกับการรวมระบบคลาวด์ของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดไว้ในที่เดียว เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและตรวจสอบได้ทั่วถึง ลดโอกาสการซ่อนข้อมูล
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อไปว่าหากมีระบบการตรวจสอบระดับประเทศที่แข็งแกร่ง มาตรฐานเหล่านี้ก็จะถูกกระจายลงไปใช้ในระดับท้องถิ่นระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบจ. และ อบต.) ด้วย
อย่างไรก็ตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีความเสถียรภาพต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี เพื่อวางระบบและบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาเพราะการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งทำให้โครงการเหล่านี้ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
นายศึกษิษฎ์กล่าวทิ้งท้าย สรุปว่าการจะกำจัดปัญหาโดยอาศัยเพียงความดี ของบุคคลที่เป็นฝ่ายตรวจสอบเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันและทุนสีเทาได้อย่างยั่งยืน แต่ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดช่องว่างสำหรับการทุจริต รวมถึงการสร้างรัฐบาลที่มั่นคงเพื่อผลักดันการปฏิรูปนี้ให้สำเร็จ

ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย
@ข้อสรุป
จากการสัมภาษณ์กับสมาชิกพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรคจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าแต่ละพรรคมีความเห็นพ้องต้องกันเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปราบทุจริตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสรุปได้ใน 5 ประเด็นดังต่อไปนี้
1.นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการรับเรื่องร้องเรียนการทุจริต แบบไม่เปิดเผยตัวตน
2.การพัฒนาระบบตรวจจับการทุจริต และตรวจสอบการทำงานภาครัฐในระดับต่างๆ
3.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เข้ามาตรวจสอบความผิดปกติ
4.การสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับเทคโนโลยีอาทิ ระบบ Open Data การอัพข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างลงระบบคลาวด์
5.การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้มีบทบาทเข้ามาในการตรวจจับทุนสีเทาที่เข้ามาใกล้ชิดอำนาจรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจะถูกนำไปใช้เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาล และความโปร่งใสได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนที่ไปเลือกตั้งที่จะตัดสินว่าหน้าตาของรัฐบาลครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา