
"...การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมืองที่ กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตาม เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทําขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง..."
กรณีศาลภาษีอากรกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 2-4) ต่อศาลภาษีอากรกลาง เพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ให้กับกรมสรรพากร เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท
โดยศาลฎีกาพิเคราะห์เเล้ว สรุปว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่ กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อ วัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
ทั้งนี้ การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องของนายทักษิณดังกล่าว ทำให้ นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ให้กับกรมสรรพากร เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท ตามที่กรมสรรพากรประเมินภาษีไปก่อนหน้านี้
ในตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำรายละเอียดคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม ส่วนแรก เกี่ยวกับเหตุผลของศาลฯ ที่ยกฟ้องมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบแล้ว อาทิ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามคําร้องขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ว่า ศาลฎีกาต้องส่งคําร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ , ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อแรกว่า เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกําหนดเวลา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่ รวมไปถึงพฤติการณ์โจทก์เป็นการกระทําในฐานะตัวการที่เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง

- 'ทักษิณ' อ่วม! ศาลฎีกา ยกฟ้อง-พิพากษากลับต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล.
- ฉบับเต็ม (1) ศาลฎีกา ยกฟ้อง-พิพากษากลับ 'ทักษิณ' ต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล.
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดการพิจารณาประเด็นอื่นๆ รวมถึงข้อสรุปเหตุผลสำคัญในการยกฟ้องนายทักษิณ
********************
@ ขายหุ้นต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันควร
มีปัญหาตามฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อต่อมาว่า โจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร และต้องรับผิดชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่
เนื่องจากศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามคําฟ้อง คําให้การและทางพิจารณาที่โจทก์จําเลยทั้งสี่นําสืบเพียงพอวินิจฉัยประเด็นนี้แล้ว สมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสํานวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิจารณาพิพากษาใหม่อีก
จําเลยทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ไม่ได้ถือหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์ การที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือได้ว่ามีนิติกรรมการซื้อขายหุ้นโดยชอบ
เมื่อเป็นการขายต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันควรนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาได้รับประโยชน์ และเมื่อนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทนโจทก์ถือว่าโจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินนั้น
ประเด็นนี้ โจทก์นําสืบว่า ศาลภาษีอากรกลางในคดีหมายเลขแดงที่ 242-243/2553 มีคําวินิจฉัยในหน้า 73 ว่า “....คดีจึงฟังได้ว่าหุ้นที่โจทก์ทั้งสอง (นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา) ซื้อจากบริษัทแอมเพิลอินเวสท์เม้นท์ จํากัด คนละ 164,600,000 หุ้น....เป็นส่วนหนึ่งของหุ้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยว่าพันตํารวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมานเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยให้โจทก์ทั้งสองถือหุ้นแทน...”
บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจึงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์ เงินปันผลและผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการถือหุ้นดังกล่าวก็ยังคงถือว่าเป็นของโจทก์โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นผู้รับไว้แทน การโอนหุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นเพียงการโอนกันระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นไว้แทนโจทก์

จึงมีผลเท่ากับเป็นการโอนจากผู้โอน คือ โจทก์ ไปยังผู้รับโอน คือ โจทก์ เมื่อผู้โอนกับผู้รับโอนเป็นบุคคลเดียวกันที่มีทรัพย์สินที่โอน คือ หุ้นจํานวนเดียวกัน ย่อมถือว่าไม่มีนิติกรรมใด ๆ เกิดขึ้นตามกฎหมาย จึงย่อมไม่มีเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เกิดการเปลี่ยนมือ จากผู้โอนไปยังผู้รับโอน ไม่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจใด ๆ จากธุรกรรมดังกล่าว จึงไม่ถือว่ามีเงินได้ พึงประเมินเกิดขึ้น และโจทก์ไม่ได้เป็นกรรมการของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด
โจทก์จึงไม่มีเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทําและไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร
ส่วนจําเลยทั้งสี่นําสืบว่า คําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและคําพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง มิได้วินิจฉัยว่าบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์
อีกทั้งคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองดังกล่าวเป็นการพิจารณาในเรื่องที่โจทก์ร่ํารวยผิดปกติและขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน อันเป็นคนละประเด็นกับความรับผิดทางภาษีอากร
@ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ชี้เชิดลูกถือหุ้นแทน
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรอันเป็นกฎหมายพิเศษ เมื่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตัวแทนของโจทก์ในฐานะเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ได้ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์ เม้นท์ จํากัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาดราคาหุ้นละ 49.25 บาท บุคคลทั้งสองจึงซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยจ่ายเงินชําระค่าหุ้นต่ำกว่าที่ควรต้องจ่าย ถือเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงินเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
และการที่บุคคลทั้งสองเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของ บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ประกอบกับการซื้อขายหุ้นไม่ได้ขายตามสัดส่วนของการเป็นผู้ถือหุ้นที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นร้อยละ 80:20 แต่ขาย ในสัดส่วน 50:50 ถือเป็นการซื้อขายระหว่างบริษัทกับกรรมการบริษัท ต้องนําประโยชน์ที่ได้รับอันเนื่องมาจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดมารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปีภาษีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้น
และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองในภายหลังว่า บุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนถือหุ้นไว้แทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ในฐานะตัวการเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากมูลค่าส่วนต่างของราคาหุ้นอันสืบเนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทําหรือจากการรับทํางานให้ของบุคคลทั้งสอง จึงเป็นเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่หรือตําแหน่งงานที่ทํา หรือจากการรับทํางานให้ ตามประมวลรัษฎากร
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 บัญญัติถึงนิยามของคําว่าเงิน ได้พึงประเมินว่า “ “เงินได้พึงประเมิน” หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษี ในหมวดนี้ เงินได้ดังกล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน....” เงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 จึงมิได้หมายถึงเฉพาะเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้เท่านั้น แต่ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงินด้วย
@ ขายหุ้นนอกตลาด ราคาต่ำ 1 บาท
จากทางนําสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายรับฟังได้ว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) พิพาท จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด คนละ 164,600,000 หุ้น รวม 329,200,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยเป็นการขายนอกตลาดหลักทรัพย์
เมื่อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) เป็นหุ้นที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นหุ้น แบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) ซึ่งนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด และนายสมชาย อ๊อกซู ผู้อํานวยการฝ่ายทะเบียนหลักทรัพย์บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้ให้การต่อคณะอนุกรรมการ ตรวจสอบ (คตส.) ว่า หุ้นแบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) จะนําไปฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ หรือผู้เก็บรักษาหลักทรัพย์ (Custodian) การซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
เมื่อได้ลงบันทึกบัญชีของผู้ฝากหลักทรัพย์ในสํานักหักบัญชีของบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด และจากหลักฐานที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด มีหนังสือ ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 119 ถึง 122 ชี้แจงต่อ สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ยืนยันว่า ในระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม 2544 ถึงวันที่ 22 มกราคม 2549 ไม่เคยมีการซื้อขายหุ้นบริษัทบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน)

แต่หุ้นดังกล่าวได้มีการฝากไว้กับผู้เก็บรักษาหลักทรัพย์ช่วง(Sub-Custodian) ในประเทศไทย คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ สาขากรุงเทพมหานคร และจากหลักฐานของบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการรับฝากหลักทรัพย์ด้วยระบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) ปรากฏข้อมูลว่า ในวันที่ 23 มกราคม 2549 มีการโอนหลักทรัพย์หุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากผู้เก็บรักษาหลักทรัพย์ช่วง (Sub-Custodian) บัญชีเลขที่ 3019911115 ธนาคารซิตี้แบงก์ สาขากรุงเทพมหานคร) ไปยังโบรกเกอร์ บัญชีเลขที่ 2119000012 (บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จํากัด) จํานวน 2 รายการ รายการละ 164,600,000 หุ้น อันเป็นจํานวนเดียวกับที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาร่วมกันแจ้งต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 110 ถึง 112
แสดงให้เห็นว่า บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาคนละ 164,600,000 หุ้น รวม 329,200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 23 มกราคม 2549
ขณะที่ในวันดังกล่าวหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ตามกระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซื้อขายที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันยังปรากฏข้อเท็จจริงว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
เมื่อทางนําสืบของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุผลอันสมควรหรือพฤติการณ์พิเศษใดที่ บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ประกอบกิจการด้านการลงทุน ในการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์มีวัตถุประสงค์ในการหากําไร จึงยอมขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในราคาที่ต่ำกว่า ราคาตลาดถึงกว่าสี่สิบเท่า
ประกอบกับโจทก์นําสืบรับว่า บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์ และขณะขายหุ้น นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งในวันเดียวกันนั้นนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาขายหุ้นพิพาทต่อให้กลุ่มเทมาเส็ก
พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่า เงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากธุรกรรมการขายหุ้นที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายแก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทานอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 1 บาท และนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวต่อไปให้แก่กลุ่ม เทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท แล้ว
เมื่อไม่มี บุคคลใดได้ยื่นแสดงเงินได้พึงประเมินส่วนนี้ในแบบแสดงรายการ จึงก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าพนักงาน ประเมินของจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ดําเนินการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และ นางสาวพินทองทาผู้มีชื่อถือหุ้นมาไต่สวนเมื่อมีเหตุควรสงสัยว่า แบบแสดงรายการที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และต่อมาจึงประเมิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา
เนื่องจากบุคคลทั้งสองมีเงินได้จากการซื้อหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดในฐานะที่เป็นบุคคลมีชื่อในหนังสือสําคัญอันแสดงว่า เป็นเจ้าของทรัพย์สินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61 โดยกําหนดราคาซื้อขายหุ้นรายใหญ่ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นราคาตลาดที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาควรจะขาย
นอกจากนี้ยังได้ความจากนางสาวจํารัส ช้อยจินดา ผู้อํานวยการกองตรวจสอบ ภาษีกลางของจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคณะทํางานตรวจสอบภาษีหุ้นกลุ่มบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) รายนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาว่า เมื่อทําการตรวจสอบภาษีอากร ของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายนายพานทองแท้ เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 5,904,791,172.29 บาท ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2550 ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 50 ถึง 55 และนางสาวพินทองทา เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 5,904,503,601.13 บาท ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2550 ตามเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 47 ถึง 51
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาอุทธรณ์การประเมินภาษี ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของสํานักงานสรรพากรภาค 3 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2550 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคําวินิจฉัยให้ลดภาษีที่เรียกเก็บตามหนังสือแจ้งประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินแต่ละสํานวนลง โดยลดเบี้ยปรับให้คงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากรและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นจําเลยต่อศาลภาษีอากรกลาง ในขณะที่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 วินิจฉัยว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน)ไว้แทนโจทก์ และมีคําพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 46,373,687,554.70 บาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารส่งเงินจํานวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 242-243/2553 ว่า หุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซื้อมาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งจําเลยที่ 1 ประเมินให้ชําระภาษีเงินได้พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้นเป็นหุ้นของโจทก์โดยให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นดังกล่าวไว้แทน
@ ชี้ชัด พานทองแท้-สาวพินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริง
นายพานทองแท้และ นางสาวพินทองทาจึงมิใช่เจ้าของแท้จริงของหุ้นดังกล่าว ไม่ใช่ผู้มีเงินได้และมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรตามที่จําเลยประเมิน การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามเอกสาร หมาย ล.3 แผ่นที่ 201 ถึง 278
ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์กล่าวอ้างในคําฟ้องว่า ต่อมาหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษาว่า เจ้าของหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่แท้จริงยังคงเป็นโจทก์ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจึงนําคําพิพากษาดังกล่าวไปยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีที่ศาลภาษีอากรกลางกําลังพิจารณาอยู่
โดยอ้างว่า เมื่อเจ้าของหุ้นยังคงเป็นโจทก์ การประเมินภาษีต่อนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาจึงมิใช่การประเมินต่อบุคคลที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคําพิพากษาว่า เงินได้จากการขายหุ้นนี้ไม่ถือเป็นเงินได้ของนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เพราะมิได้เป็นเจ้าของหุ้นหรือเจ้าของทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดเงินได้
ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนําสืบและกล่าวอ้างมาบ่งชี้ให้เห็นว่า ขณะที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา และประเมินภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ประจําปีภาษี 2549 ต่อบุคคลทั้งสองนั้น จําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ทราบมาก่อนว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นตัวแทนของโจทก์ในการถือหุ้นดังกล่าวและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่อาจทําให้จําเลยที่ 1 รับรู้ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตัวแทนแสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และขายหุ้นทั้งหมดดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็ก
@ ทักษิณตัวการ ต้องจ่ายภาษีแทนลูก
พฤติการณ์ของโจทก์ในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษี ของจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 1 มีสิทธิบังคับโจทก์ผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะตัวแทนทําขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 820
ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า การโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด(มหาชน) ระหว่างบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทามิได้ก่อให้เกิดนิติกรรม ทําให้ไม่มีเงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคิดคํานวณเป็นเงินได้นั้น เห็นว่า แม้รัฐจัดเก็บภาษีอากรจากบุคคลธรรมดาหรือบริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้มีเงินได้เพื่อนํามาเป็นรายได้ใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกันกฎหมายภาษีอากรก็เปิดโอกาสให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้ประโยชน์จากหลักเกณฑ์ทางด้านภาษีเพื่อวางแผนให้ผู้มีเงินได้ได้สิทธิประโยชน์หรือลดภาระทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีสําหรับเงินได้บางประเภท การใช้สิทธิหักค่าใช้จ่าย และการใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้มีเงินได้

อย่างไรก็ตาม รัฐจะจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมตามเจตนาที่คู่ความแสดงออกมา การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้การกระทําที่ถูกต้องตามตัวบทบัญญัติแห่งกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร มิใช่การใช้สิทธิประโยชน์ด้วยวิธีการวางแผนทำธุรกรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตน
แต่เมื่อธุรกรรมดังกล่าวที่มีภาระภาษีนั้นไม่บรรลุผลก็กลับมาอ้างว่าไม่เคยมีธุรกรรมเช่นนั้นมาก่อน เพื่อให้ตนพ้นจากภาระทางภาษี
ดังเช่นคดีนี้ โจทก์เพียงต้องการบริหารจัดการทรัพย์สินของโจทก์ในขณะที่โจทก์เข้าดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่มีกฎหมายห้ามการถือครองหุ้นซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีส่วนได้เสียในกิจการของรัฐ จึงทําการบริหารจัดการ ทรัพย์สินด้วยการโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ให้เครือญาติของโจทก์ และจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ของโจทก์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างประเทศขึ้นมา
โดยโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวจํานวน 1 หุ้น ในช่วงที่โจทก์กําลังจะดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี วาระที่ 1
ต่อมาโจทก์ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด
จากนั้นโจทก์โอนหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์ เม้นท์ จํากัด ที่โจทก์มีจํานวน 1 หุ้น แก่นายพานทองแท้ บุตรชาย และภายหลังมีการเรียก ชําระค่าหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น โดยนายพานทองแท้ซื้อเพิ่ม 3 หุ้น และนางสาวพินทองทา บุตรสาวโจทก์ซื้อ 1 หุ้น รวมแล้วทั้งบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด มีหุ้นเพียง 5 หุ้น ซึ่งเป็นของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ดังจะเห็นได้ว่าโจทก์ทําธุรกรรม ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) หลายธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมแรก คือ วันที่ 11 มิถุนายน 2542 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ที่มีโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 32,920,000 หุ้น จากตัวโจทก์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในทางภาษีอากร หากโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงโจทก์จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 พ.ศ. 2509 ข้อ 2 (23) ธุรกรรมต่อมาซึ่งเป็นประเด็น พิพาทในคดีนี้ คือ วันที่ 23 มกราคม 2549 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด
ซึ่งโดยปกติบริษัทต้องประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลกําไรทั่วไปมาแบ่งปันกันระหว่างผู้ถือหุ้น แต่กลับปรากฏว่าบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) หลังจากเพิ่มทุนแล้วจํานวน 329,200,000 หุ้น แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ในราคาหุ้นละ 1 บาท
ทั้งที่ในเวลานั้น กระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซื้อขายหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท
แสดงให้เห็นว่า โจทก์มิได้จัดตั้งบริษัทนิติบุคคลต่างประเทศเพื่อประกอบธุรกิจด้านการลงทุนและหากําไรเฉกเช่นบริษัททั่วไป แต่จัดตั้งนิติบุคคลดังกล่าวเพื่อวางแผนทําธุรกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน ในเครือญาติและยังต้องการประโยชน์ทางภาษีแก่ตน
นอกจากนี้ ธุรกรรมสุดท้ายที่เกิดขึ้น ในวันเดียวกัน คือ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็ก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งในทางภาษีอากรหากนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงย่อมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จากเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อถือว่าโจทก์โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาได้รับประโยชน์จากการซื้อหุ้นจากบริษัทที่ตนเองเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นทั้งหมดในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึงกว่าสี่สิบเท่าโดยไม่มีเหตุอันควร
และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตัวแทนโจทก์ขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท จึงก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินตามความหมาย ในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40 (2) ที่โจทก์ตัวการไม่เปิดเผยชื่อต้องรับ เป็นเงินได้พึงประเมินของตนตั้งแต่วันที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นแก่ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ และมีการขายต่อแก่กลุ่มเทมาเส็ก เพราะหากไม่ถือตามนิยามที่กฎหมายกําหนดความหมายไว้ และยอมให้โจทก์อ้างว่าไม่เคยมีธุรกรรมเช่นนั้นมาก่อนเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษี
กรณีที่บุคคลธรรมดาที่ซื้อหุ้นหรือสินค้าจากบริษัทต่างประเทศในราคาต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันควรแล้วนํามาขายต่อซึ่งต้องเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็จะสามารถวางแผนบริหารจัดการภาษีโดยหลบเลี่ยงประมวลรัษฎากรมาตรา 39 ด้วยการอ้างว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเป็นตัวแทนของบุคคลคนเดียวกันทําให้ไม่มีธุรกรรมที่ก่อให้เกิดเงินได้ได้โดยง่ายอันเป็นข้ออ้างเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย
อีกทั้งหากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นแก่กลุ่มเทมาเส็กโดยตรง ในราคา 49.25 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาด บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย อาจถูกผู้จ่ายหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินได้พึงประเมินคือกําไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่จ่ายจากหรือ ในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 โจทก์จึงวางแผนทําธุรกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อที่จะไม่ต้องถูกรัฐจัดเก็บภาษีด้วย
ดังนั้น ธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือ จากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ ทั้งเป็นธุรกรรมที่ทําขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง หากเมื่อรัฐตรวจพบแล้วยอมให้ผู้กระทํามาอ้างภายหลังว่าธุรกรรมนั้นไม่มีอยู่จริงหรือไม่ต้องรับผลของการทําธุรกรรมนั้นเพื่อประโยชน์ทางภาษี หรือเพื่อขอคืนภาษีได้ย่อม จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดเก็บภาษี และไม่ควรให้พฤติกรรมที่กระทําเพื่อการอันมิชอบของผู้มีอํานาจในการบริหารประเทศมาเป็นแบบอย่างของสังคมใช้นํามาอ้างเพื่อ ประโยชน์ทางภาษีส่วนตนเช่นนี้ได้ ประกอบกับธุรกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น ก็ยังไม่เคยถูกเพิกถอนจนหุ้นกลับมาเป็นชื่อของโจทก์แต่อย่างใด
ข้ออ้างดังกล่าวในทางกฎหมายภาษีอากรจึงไม่สามารถยอมรับได้ นอกจากนี้ยังไม่เป็นธรรมแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ประกอบกิจการ เพื่อหวังผลกําไรทางธุรกิจและซื้อขายอย่างตรงไปตรงมาแต่ต้องเสียภาษี
ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า การโอนหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) พิพาทมีผลเท่ากับโจทก์โดยตัวแทนขายหุ้น แก่กลุ่มเทมาเส็ก แต่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกําไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากรกําหนดให้บุคคลธรรมดาทุกคนผู้มีเงินได้มีหน้าที่ชําระภาษี เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) ประกอบ กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 พ.ศ. 2509 ข้อ 2 (23) บัญญัติให้เงินได้พึงประเมินจากการ ขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

แต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์เป็นเจ้าของที่แท้จริงของหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ผู้มีชื่อในหุ้นจึงมีความสําคัญในระบบการจัดเก็บภาษี ของรัฐและใช้เพื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของทรัพย์สิน นอกจากนี้ การมีชื่อในหุ้นยังมีความสําคัญต่อ ระบบตลาดหลักทรัพย์ โดยตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 และมาตรา 247 บัญญัติให้บุคคลที่กระทําการไม่ว่าตนเองหรือร่วมกับบุคคลอื่นอันเป็นผลให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการในจํานวนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจํานวนทุกร้อยละ 5 ของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการนั้น ต้องรายงานต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทุกครั้ง และหากถึงร้อยละ 25 ให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการที่คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะกําหนดให้บุคคลดังกล่าวจัดทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ก็ได้
ประกอบกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป การที่ประชาชนคนใดจะลงทุนในหุ้นตัวใดย่อมมีสิทธิที่จะรับรู้ว่ามีผู้ถือหุ้นคือใคร มีความน่าเชื่อถือเพียงใดเนื่องจากความเป็นเจ้าของบริษัทมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาหุ้น ดังนั้น บุคคลที่จะได้รับสิทธิยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 พ.ศ. 2509 ข้อ 2 (23) นี้ จึงหมายถึงผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงและมีชื่อในหุ้นเท่านั้น
โจทก์จึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเนื่องจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 พ.ศ. 2509 ข้อ 2 (23) มาใช้กับกรณีการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่พิพาทที่ปรากฏชื่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในหุ้นแต่โจทก์เป็นเจ้าของที่แท้จริงและไม่อาจอ้างเรื่องความสัมพันธ์ตัวการตัวแทนมาใช้บังคับกับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนโดยส่วนรวมกรณีนี้ได้ เพราะเรื่องการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีเงินได้จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด
@ พยานหลักฐานจําเลยมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์
พยานหลักฐานจําเลยทั้งสี่มีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนํามารวมคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจําปี 2549 จากการที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น ของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และเป็นตัวแทนของโจทก์ในราคาต่ำกว่า ราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันควร
และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยราคาหุ้นละ 49.25 บาท อันถือเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์โดยนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และเป็นตัวแทนโจทก์ได้รับ ซึ่งอาจคิดคํานวณได้เป็นเงิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมาตรา 40 (2) คือ ราคาส่วนต่างของราคาตลาดของกระดานซื้อหุ้นรายใหญ่ของหุ้นกับราคาที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นแก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจํานวน 329,200,000 หุ้น เป็นเงินหุ้นละ 49.25 ลบ 1 บาท เท่ากับ 48.25 บาท คิดเป็นเงิน ได้พึงประเมิน 15,883,900,000 บาท
เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จึงมีอํานาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินภาษีของเจ้าพนักงาน ที่ให้โจทก์ชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ประเมินของจําเลยที่ 1 ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
@ ต้องจ่ายภาษี 15,883,900,000 บาท บวกเบี้ยปรับ-เงินเพิ่ม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อสุดท้ายว่า มีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ปัญหานี้แม้ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคําฟ้อง คําให้การ และทางพิจารณาที่โจทก์ จําเลยทั้งสี่นําสืบมาแล้ว เห็นควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสํานวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิจารณาพิพากษาใหม่อีก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมืองที่ กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตาม เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทําขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง
กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่นไม่จําต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทําให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
*******************
อนึ่งก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เมื่อปี 2553 ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 266/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 242/2563 ลงวันที่ 29 ธ.ค.2553 ซึ่งเป็นคดีที่นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร (โจทก์) ยื่นฟ้องกรมสรรพากรกับพวก โดยขอให้ศาลฯมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนหนังสือของกรมสรรพากรที่ให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โดยคดีนี้ ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือกรมสรรพากรฯ ทำให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ไม่ต้องชำระภาษีเงินได้พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้กับกรมสรรพากร เนื่องจากนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา มิใช่เจ้าของหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงไม่ใช่ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร และมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์ฯที่มีลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และ 40 (2) ด้วย
- ลุ้น‘ศาลฎีกา’ชี้ขาดคดี‘สรรพากร’แจ้ง‘ทักษิณ’จ่ายภาษีเงินได้ฯขายหุ้น‘ชินคอร์ป’ 1.7 หมื่นล.
- ฉบับเต็ม! คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฯ'ทักษิณ'ชนะคดี'สรรพากร'เรียกภาษีขายหุ้น‘ชินฯ’ 1.7 หมื่นล.
ปัจจุบัน นายทักษิณ อยู่ระหว่างรับโทษจำคุก 1 ปี ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากคดีทุจริต ตามพระบรมราชโองการ
เท่ากับว่า นอกจากเข้าไปรับโทษจำคุกในเรือนจำเป็นเวลา 1 ปี แล้ว นายทักษิณ ยังจะต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินสูงถึง1.7 หมื่นล้านบาท ด้วย

- สรุป! คำตัดสินคดีติดคุกทิพย์ ส่งตัว'ทักษิณ'เข้าเรือนจำ บังคับโทษ 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
- เอ็กซ์คลูซีฟ! คำสั่งบังคับคดีชั้น 14 'ทักษิณ' รู้ตัวไม่ป่วยจริงให้กลับไปรับโทษจำคุก1 ปี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา