
"...ในคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว ดังนั้น นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทากระทําลงไปย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ..."
การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องของนายทักษิณดังกล่าว ทำให้ นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ให้กับกรมสรรพากร เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท ตามที่กรมสรรพากรประเมินภาษีไปก่อนหน้านี้
คือ บทสรุปคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ตัดสินในคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 2-4) ต่อศาลภาษีอากรกลาง เพื่อขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ให้กับกรมสรรพากร เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
โดยศาลฎีกาพิเคราะห์เเล้ว สรุปว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่นรวมถึงนายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่ กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อ วัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีนี้ของศาลฎีกาข้างต้น หลังจากศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ
ก่อนที่กรมสรรพากรจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร และศาลอุทธรณ์ฯพิพากษายืนตามคำพิพากษาของภาษีอากรกลาง
ต่อมากรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาคำพิพากษา และศาลฎีกามีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องของนายทักษิณ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวข้างต้น
***********
@ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสํานวนประชุมปรึกษา
โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ยื่นคําร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคําร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคําร้องฉบับลงวันที่ 12 ธันวาคม 2567
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2541 โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 32,920,000 หุ้น วันที่ 12 มีนาคม 2542 โจทก์จดทะเบียนบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศในหมู่เกาะ British Virgin มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นหุ้น จํานวน 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกชําระค่าหุ้นเพียง 1 หุ้น มูลค่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด มีนาย เลา วี เตียง(Mr. Lau Hwee Tiang) และนางกาญจนา หงส์เหิน เป็นกรรมการ มีวัตถุประสงค์ในการ ซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ (Holding Investment Company) ในประเทศไทย โดยโจทก์ เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว จํานวน 1 หุ้น
ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2542 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 32,920,000 หุ้น จากโจทก์มูลค่าหุ้นละ 10 บาท (ราคา PAR) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัดได้เพิ่มนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นกรรมการ วันที่ 1 ธันวาคม 2543 โจทก์โอนหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด จํานวน 1 หุ้น ให้แก่นายพานทองแท้ วันที่ 29 สิงหาคม 2554 บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จดทะเบียนลดมูลค่าหุ้นจากที่ตราไว้ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท ทําให้จํานวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า เป็นผลให้บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 329,200,000 หุ้น วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์จํากัด เรียกชําระค่าหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยนายพานทองแท้ ซื้อเพิ่ม 3หุ้น และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซื้อ 1 หุ้น และเปลี่ยนแปลงกรรมการ เป็นนายพานทองแท้ นางสาวพินทองทา และนางกาญจนา บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดแก่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 23 มกราคม 2549 นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาขายหุ้นดังกล่าวแก่กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็ก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ มีความเห็นว่าการที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด โอนหุ้นให้แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถือว่าส่วนต่าง ของราคาหุ้นระหว่างราคาตลาดกับราคาที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาได้รับโอนมา จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐจึงแจ้งให้จําเลยที่ 1 เรียกตรวจสอบภาษีรายนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 อ้างอํานาจตามความในมาตรา 19 มาตรา 23 มาตรา 56 ทวิ มาตรา 88/4 มาตรา 91/21 และมาตรา 123 แห่งประมวลรัษฎากร ออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาสําหรับการตรวจสอบภาษี ปีภาษี 2549 จํานวน 2 ครั้ง ครั้งแรกตามเอกสารหมาย ล.5 แผ่นที่ 84 และ ล.6 แผ่นที่ 48 ครั้งที่สองตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 325 และ ล.7 แผ่นที่ 311
@ พานทองแท้-พินทองทา อุทธรณ์การประเมิน
ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่อาศัยอํานาจตามมาตรา 20 มาตรา 22 และมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นายพานทองแท้ 5,904,791,172,29 บาท ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 50 ถึง 55 และ 34 นางสาวพินทองทา 5,904,503,601.13 บาท ตามเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 33 และ 47 ถึง 51
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา อุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคําวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ แต่ลดเบี้ยปรับให้คงเหลือเรียกเก็บ เพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทานําคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง
ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ว่า โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 1,419,490,150 หุ้น นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคําพิพากษาคดีหมายเลข แดงที่ 242-243/2553 ให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์ยื่นแบบแสดง รายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) สําหรับปีภาษี 2559 วันที่ 2 เมษายน 2550 ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 193 ถึง 196 เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่แจ้งการประเมินให้โจทก์ชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 16 ถึง 24 โจทก์อุทธรณ์การประเมินตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 25 ถึง 67 จําเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคําวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 68 ถึง 88

@ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามคําร้องขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ว่า ศาลฎีกาต้องส่งคําร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่
โจทก์ยื่นคําร้องว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 เรื่อง การตรวจสอบการกระทํา ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 ข้อ 5 วรรคหนึ่ง (4) เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่คดีในการให้อํานาจสอบสวนนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร เป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อความเสมอภาคในการ จัดเก็บภาษี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 26, 27 วรรคหนึ่ง, 32, 37 และประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (1) (ก) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง 25, 26, 27, 37 เนื่องจากการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีอธิบดีของจําเลยที่ 1 หรือผู้แทนเข้าร่วมการพิจารณาย่อมไม่เป็นกลางและไม่คุ้มครองผู้เสียภาษี บทบัญญัติดังกล่าวขัดต่อหลักความมีส่วนได้เสียและไม่คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ตามรัฐธรรมนูญนั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า สําหรับปัญหาว่าประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฉบับที่ 30 เรื่อง การตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ฯ ข้อ 5 วรรคหนึ่ง (4) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 26, 27 วรรคหนึ่ง, 32, 37 หรือไม่ นั้น
มีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551 ว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ฯ มิได้มีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ไม่ว่าจะเป็นบทมาตราใด การที่โจทก์ยื่นคําร้องขอให้ศาลฎีกาแผนก คดีภาษีอากรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 26, 27 วรรคหนึ่ง, 32, 37 ซึ่งเป็นบทบัญญัติลักษณะเดียวกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29, 30, 35, 41, 42
จึงเป็นการร้องขอในเรื่องลักษณะเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคําวินิจฉัยไว้แล้ว กรณีไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจะส่งคําร้องของโจทก์ในปัญหานี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ส่วนปัญหาว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (1) (ก) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง, 25, 26, 27, 37 หรือไม่นั้น เมื่อคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นคําสั่งทางปกครองดังนั้น การที่คู่กรณีจะคัดค้านว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองจะทําการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ เนื่องจากมีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง จะต้องทําคําคัดค้านเป็นหนังสือถึงเจ้าพนักงานผู้นั้น
โดยระบุข้อคัดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านเป็นหนังสือถึงเจ้าหน้าที่ผู้นั้นก่อนได้รับแจ้งคําสั่งทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 15 และมาตรา 16 ประกอบ กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ข้อ 1 และ ข้อ 2
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางนําสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ทําคําคัดค้านเป็นหนังสือถึงอธิบดีของจําเลยที่ 1 หรือผู้แทนผู้มีอํานาจพิจารณาทางปกครองที่โจทก์อ้างว่ามีส่วนได้เสียไม่เป็นกลางในการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยระบุข้อคัดค้านพร้อมด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสือคัดค้านและยื่นหนังสือคัดค้านก่อนได้รับคําวินิจฉัยอุทธรณ์
โจทก์จึงไม่อาจยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นในชั้นพิจารณาของศาลได้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย เกี่ยวกับบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (1) ที่โจทก์อ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญในคดีนี้ กรณีตามคําร้องของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่ให้ศาลฎีกาส่งคําร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560มาตรา 212 วรรคหนึ่ง
ให้ยกคําร้อง

@ ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อแรกว่า เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกําหนดเวลา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่
จําเลยทั้งสี่ฎีกาว่า เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 โดยชอบด้วยกฎหมายการออกหมายเรียกตรวจสอบเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไปยังนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ถือเป็นการออกหมายเรียกไปยังโจทก์แล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จึงออกหมายเรียกโจทก์ภายในกําหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และไม่จําต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ใหม่ การกระทําของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ได้กระทําลงไปในชั้นตรวจสอบตามหมายเรียกจึงมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ
เมื่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นตัวแทนโจทก์ในการถือหุ้นโดยมีชื่อในใบหุ้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61 จึงถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นในฐานะตัวการด้วย การที่ศาลภาษีอากรกลางในคดีหมายเลขแดงที่ 242-243/2553 พิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน ไม่ทําให้หมายเรียกที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ส่งไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาสิ้นสุดลง เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอํานาจประเมินภาษีโจทก์นั้น
โจทก์มีนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอํานาจช่วงโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ตรวจสอบข้อเท็จจริงการทําธุรกรรมซื้อขาย หุ้นของโจทก์ และสรุปสํานวนว่า การที่โจทก์โอนหุ้นในบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่เกาะ British Virginและต่อมาบริษัทแอมเพิลอินเวสท์เม้นท์ จํากัด โอนแก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา และบุคคลทั้งสองโอนขายหุ้นทั้งหมดแก่เครือเทมาเส็ก
ต่อมาจําเลยที่ 1 ประเมินภาษีนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา บุคคลทั้งสองอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และมีการฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางระหว่างการดําเนินคดีในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 วินิจฉัยว่าการถือหุ้นในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ของโจทก์และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผ่านทางบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ในขณะที่ยังมีอํานาจทางการเมืองในการสั่งการอยู่ ถือว่าเป็นการกระทําที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ทรัพย์สินและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
จึงเป็นการได้มาโดยมิชอบสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่ และเห็นว่าโจทก์ยังเป็นเจ้าของหุ้นอยู่ จึงมีคําสั่งให้ริบเงินที่ได้จากการ ขายหุ้นหลังหักราคาหุ้นที่มีอยู่เดิมและเงินปันผลหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก และผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นดังกล่าว
เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษาว่าเจ้าของหุ้นที่แท้จริงยังคงเป็นโจทก์ ต่อมานายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจึงนําคําพิพากษาดังกล่าวยกเป็นข้อต่อสู้ในศาลภาษีอากรกลางว่าเมื่อเจ้าของหุ้นยังคงเป็นโจทก์ การประเมินภาษีต่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจึงมิใช่เป็นการประเมินต่อบุคคลที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ศาลภาษีอากรกลางจึงพิพากษาเพิกถอนการประเมิน
จากข้อเท็จจริงที่ยุติตามคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและคําพิพากษาศาลภาษีอากรกลางดังกล่าว จําเลยที่ 1 จึงยุติเรื่องไม่ออกหมายเรียกโจทก์ ทั้งที่ในขณะนั้นยังอยู่ในเวลาที่จะออกหมายเรียกตรวจสอบ เพื่อประเมินภาษีอากรโจทก์ได้ โดยโจทก์ยื่นแบบรายการภาษีไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 (วันที่ 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2550 ตรงกับวันหยุด การยื่นแบบรายการภาษี จึงได้รับการขยายออกไปเป็นวันทําการวันแรก)
หากเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า โจทก์ยื่นแบบ แสดงรายการไม่ถูกต้องต้องออกหมายเรียกมาตรวจสอบภายใน 5 ปี ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 แล้ว พนักงานอัยการทําหนังสือถึงจําเลยที่ 1 ว่าไม่ควรอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาซึ่งนับแต่วันที่ศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาคือวันที่ 29 ธันวาคม 2553 จําเลยที่ 1 มีเวลาออกหมายเรียกได้ถึง 1 ปี 3 เดือน แต่จําเลยที่ 1 มิได้มีการดําเนินการออกหมายเรียกภายใน 5 ปี
ประกอบกับอธิบดีของจําเลยที่ 1 ในขณะนั้นมีคําสั่งให้ยุติการประเมินภาษีโดยเห็นว่า ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา ตามกฎกระทรวงออกตามความในประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 126 ข้อ 2 (23) ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีอีก จึงไม่ได้มีการออกหมายเรียกโจทก์
ส่วนจําเลยทั้งสี่มีนางสาวจํารัส ช้อยจินดา ผู้อํานวยการกองตรวจสอบภาษีกลางของจําเลยที่ 1 เบิกความว่า ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทามิใช่เจ้าของหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่แท้จริง ให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น มิได้ให้เพิกถอนหมายเรียกแต่อย่างใด
เมื่อการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตามหมายเรียกเลขที่ กค 0721/ค./0320 และเลขที่ กค 0721/ค./0321 ลงวันที่ 30 เมษายน 2550 สําหรับปีภาษี 2549 ได้กระทําภายในกําหนด 2 ปี นับแต่วันที่ยื่นรายการจึงถือเป็นการออกหมายเรียกโดยชอบตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
การที่ปรากฏข้อเท็จจริงตามค่าพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและศาลภาษีอากรกลางว่า โจทก์ให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แทนโจทก์
ดังนั้นจึงถือว่าโจทก์ในฐานะตัวการได้แสดงออกโดยการเชิดหรือยอมให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์กระทําการโดยแสดงออกให้บุคคลภายนอกเชื่อว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง
โจทก์จึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนหนึ่งว่าบุคคลทั้งสอง เป็นตัวแทนของตน และหาอาจทําให้เสื่อมเสียสิทธิของเจ้าพนักงานประเมิน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ที่ได้ออกหมายเรียกไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งมีชื่อในใบหุ้นอันเป็นเอกสารสําคัญในขณะนั้น ก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินจะทราบว่าบุคคลทั้งสองเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ การออกหมายเรียกดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการตามมาตรา 806 มาตรา 820 และมาตรา 821 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และถือว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ได้รับหมายเรียกไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ปัญหานี้ ประมวลรัษฎากร มาตรา 19 บัญญัติว่า “...กรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอํานาจออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการนั้น มาไต่สวน และออกหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ยื่นรายการหรือพยานนั้นนําบัญชี เอกสารหรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ แต่ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันส่งหมาย
ทั้งนี้ การออกหมายเรียกดังกล่าวจะต้องกระทําภายในเวลาสองปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการไม่ว่าการยื่นรายการนั้นจะได้กระทําภายในเวลาที่กฎหมายกําหนดหรือเวลาที่รัฐมนตรีหรืออธิบดีขยายหรือเลื่อนออกไปหรือไม่ ทั้งนี้ แล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลังเว้นแต่กรณีปรากฏหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ยื่นรายการมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากรหรือเป็นกรณีจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการคืนภาษีอากร อธิบดีจะอนุมัติให้ขยายเวลาการออกหมายเรียกดังกล่าวเกินกว่าสองปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ...” มาตรา 61 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสําคัญใด ๆ แสดงว่า (1) เป็นเจ้าของทรัพย์สินอันระบุไว้ในหนังสือสําคัญและทรัพย์สินนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน....” วรรคสอง บัญญัติว่า “เจ้าพนักงานประเมินมีอํานาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อ ในหนังสือสําคัญนั้นก็ได้
แต่ถ้าบุคคลนั้นต้องโอนเงินได้พึงประเมินให้แก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิ หักเงินภาษีจากจํานวนเงินซึ่งต้องโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน” ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า บทบัญญัติตามมาตรา 19 เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองการใช้อํานาจรัฐว่าด้วยการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรที่ให้อํานาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในการออกหมายเรียกไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้
แต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่า รายการตามแบบนั้นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง หรือไม่บริบูรณ์ หรือมีเหตุอันควรสงสัย ว่าผู้ยื่นรายการมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร บทบัญญัติดังกล่าวให้อํานาจแก่เจ้าพนักงานประเมิน ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนโดยเรียกให้ผู้ยื่นรายการมาไต่สวน หรือออกหมายเรียก พยานไปพบเพื่อให้ถ้อยคําและชี้แจงเกี่ยวกับแบบแสดงรายการ นําบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดง
ในขณะเดียวกันกฎหมายก็มุ่งคุ้มครองสิทธิและหน้าที่ของประชาชนโดยการเปิดโอกาสให้ผู้ยื่นรายการสามารถโต้แย้งคัดค้านความเห็นพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมิน เพื่อประกันความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเช่นเดียวกับการบังคับใช้กฎหมายที่จํากัดสิทธิอื่นซึ่งต่างกับอํานาจของเจ้าพนักงานประเมินในการประเมินจากรายการหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามแบบแสดงรายการที่ผู้เสียภาษียื่นเสียภาษีไว้แล้ว โดยไม่ต้องมีการออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการมาไต่สวนก่อนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนําสืบของจําเลยทั้งสี่โดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า เหตุที่เจ้าพนักงาน ประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 เลขที่กค 0721/ค./0320 และเลขที่ กค 0721/ค./0321 ลงวันที่ 30 เมษายน 2550 เอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 325 และเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 311 ไปยังนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาสําหรับการตรวจสอบภาษี ในปีภาษี 2549 เนื่องมาจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งเป็นกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแอมเพิลริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในขณะที่ราคาซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ ขณะนั้น มีราคาหุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันนั้น นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ขายหุ้นทั้งหมดดังกล่าวแก่กลุ่มเทมาเส็ก เป็นการขายหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันควร
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการซื้อหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นผลให้ส่วนต่างของราคาซื้อขายหุ้นที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซื้อจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด กับราคาหุ้นที่บุคคลทั้งสองโอนขายแก่กลุ่มเทมาเส็ก เข้าลักษณะ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะเป็นบุคคล ที่มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสําคัญและทรัพย์สินนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน และเป็นผู้ได้รับ ประโยชน์จากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้รับผิดชําระภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61
ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษา ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 วินิจฉัยว่า “พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา (โจทก์) และผู้คัดค้านที่ 1 (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร) กับผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 (นายพานทองแท้ ชินวัตร นางสาวพินทองทา ชินวัตร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์) ดังได้วินิจฉัยมาเป็นเหตุผลประการหนึ่งให้เชื่อว่า ผู้คัดค้านที่ 5 ถือหุ้นเพิ่มทุนบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 โอนให้ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ไว้แทนผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 และรับเงินปันผลในหุ้นดังกล่าวจากบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ...ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 3 ยังคงถือไว้ ซึ่งหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 1,519,490,150 หุ้นตามคําร้องในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีในสองวาระ....”
และต่อมาศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 242-243/2553 วินิจฉัยว่า “หุ้นที่โจทก์ทั้งสอง (นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา) ซื้อจากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จํากัด คนละ 164,600,000 หุ้น ซึ่งจําเลยประเมินให้โจทก์ทั้งสอง (นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา) เสียภาษีเงินได้ในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของหุ้นที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า พันตํารวจโททักษิณ ชินวัตร (โจทก์ในคดีนี้) และคุณหญิงพจมานเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยให้โจทก์ทั้งสอง (นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา) ถือหุ้นแทน ... โจทก์ทั้งสอง (นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา) จึงไม่ใช่เจ้าของแท้จริงของหุ้นดังกล่าว ไม่ใช่ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร และมิใช่เป็นผู้รับประโยชน์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ที่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมาตรา 40 (2) ตามที่จําเลยประเมิน การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ไม่ชอบ...” ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 183 ถึง 260 ซึ่งคดีของศาลภาษีอากรกลางดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
@ พฤติการณ์โจทก์เป็นการกระทําในฐานะตัวการที่เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง
กรณีจึงฟังได้ว่า โจทก์ให้นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทน โดยโจทก์ยังคง เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่แท้จริง เมื่อประมวลรัษฎากรไม่มีบทบัญญัตินิยามเรื่องตัวแทนไว้ จึงต้องถือเอาความหมายตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับกรณีได้เท่าที่ไม่ขัดกับส่วนอื่น จึงถือได้ว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นตัวแทนของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797
ในข้อนี้ได้ความจากนางสาวจํารัสว่า เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาเนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จึงถือเป็นบุคคลที่มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสําคัญและทรัพย์สินนั้นก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินและเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
เมื่อต่อมาความปรากฏภายหลังว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า โจทก์ยังคง ถือไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) และคําพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง วินิจฉัยว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทามิใช่เจ้าของหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนโจทก์
เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 เห็นว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการกระ ทําในฐานะตัวการที่เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง การที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียกไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นผู้มีชื่อในใบหุ้นอันเป็นหนังสือสําคัญในขณะนั้น ก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จะทราบว่าบุคคลทั้งสองเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ แสดงให้เห็นว่า จําเลยที่ 1 ไม่รู้มาก่อนว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ไว้แทนโจทก์
โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตัวแทนแสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จํากัด และขายหุ้นทั้งหมดดังกล่าวแก่ กลุ่มเทมาเส็ก โดยจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้ว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เป็นตัวแทน
แต่ในคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว ดังนั้น นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทากระทําลงไปย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ
ประกอบกับเมื่อพิจารณา หมายเรียกเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 325 และเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 311 ที่เจ้าพนักงาน ประเมินของจําเลยที่ 1 มีไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาแล้วมีข้อความระบุไว้ในช่อง ให้นําส่งเอกสารหลักฐานว่า “เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จํากัด และหลักฐานการรับเงินชําระเงินค่าหุ้นดังกล่าว รวมถึงเอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินได้ สําหรับปีภาษีดังกล่าว”
และนางสาวจํารัส เบิกความยืนยันว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุในการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จํากัด ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่เจ้าพนักงานใช้เป็นมูลเหตุในการประเมินภาษีโจทก์ และจํานวนเงินได้พึงประเมินที่นํามารวมคํานวณภาษี ก็เป็นจํานวนเดียวกัน
โดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงส่วนนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น และไม่ปรากฏว่าโจทก์โต้แย้งถึงความถูกต้องของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จํากัด ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 นํามาใช้ประเมินภาษีโจทก์ เป็นข้อเท็จจริงเดียวกับที่ใช้ในการประเมินภาษีนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งมีอยู่ในสํานวนตรวจสอบนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาตัวแทนของโจทก์อยู่แล้ว
เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 มิได้ใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงอื่นเพื่อนํามาประเมินภาษีโจทก์ นอกเหนือจากที่ปรากฏในสํานวนตรวจสอบนายพานทองแท้หรือนางสาวพินทองทาแต่อย่างใด เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์จากฐานเงินได้ของ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา รวมจํานวน 15,883,900,000 บาท มาเป็นเงินได้ของโจทก์ ซึ่งเป็นฐานเงินได้จํานวนเดียวกัน ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 122 ถึง 130
ส่วนที่มีความแตกต่างกันคงมีเพียงเงินได้อื่นของ นายพานทองแท้ นางสาวพินทองทาและโจทก์ เช่น เงินเดือน เงินปันผล เครดิตภาษี การหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน ซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 นำมาจากแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปี 2549 ที่โจทก์ยื่นไว้ ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง นอกเหนือจากรายการที่ปรากฏในแบบแสดงรายการที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ต้องไต่สวนตรวจสอบเพิ่มเติมอีก รายละเอียดข้อเท็จจริงดังกล่าวมีผลแตกต่างเฉพาะในการ คํานวณภาษีเงินได้ ทําให้เงินได้สุทธิและการใช้อัตราภาษีในการคํานวณภาษีเงินได้ของ นายพานทองแท้ นางสาวพินทองทาและโจทก์ที่ต้องชําระมีจํานวนแตกต่างกันเท่านั้น
อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในการต่อสู้คดีมาเป็นลําดับของนายพานทองแท้ นางสาวพินทองทา และโจทก์รวมถึงหลังจากเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กับโจทก์ กรณีซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โจทก์ยังใช้สิทธิโต้แย้งการประเมินโดยยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
กระทั่งต่อมา ยื่นฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลาง เชื่อได้ว่าโจทก์รับรู้ถึงการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทาตัวแทนของโจทก์มาตั้งแต่ต้นถึงได้ใช้สิทธิโต้แย้งได้เช่นนี้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า
กรณีที่ศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ประจําปีภาษี 2549 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 20 และ มาตรา 22 ถือว่าการออกหมายเรียกและการตรวจสอบไต่สวนการชําระภาษีตามแบบแสดงรายการตาม มาตรา 19 สิ้นผลไปด้วยนั้น เห็นว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคําพิพากษาในคดีหมายเลข แดงที่ 242-243/2553 ให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และ นางสาวพินทองทาไม่ใช่เจ้าของหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) ที่แท้จริง
จึงไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน และไม่เป็นผู้ได้รับประโยชน์อันอาจคํานวณราคาเป็นเงินได้ ที่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ประเมิน การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ชอบเท่านั้น ไม่ได้วินิจฉัยว่าการออกหมายเรียก ของเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หมายเรียกและการตรวจสอบ ไต่สวนตามหมายเรียกจึงยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

@ ฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ดําเนินการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ยื่นรายการ ถือได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 ออกหมายเรียก โดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกําหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ เจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 จึงมีอํานาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปี 2549 โจทก์ได้โดยไม่จําต้องออกหมายเรียกโจทก์ตามประมวล รัษฎากร มาตรา 19 อีก
ที่ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษวินิจฉัยว่า การออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในฐานะตัวแทนเป็นการออกหมายเรียกโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าพนักงานประเมินของจําเลยที่ 1 มิได้ออกหมายเรียกโจทก์ภายใน กําหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 นั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย
ฎีกาของจําเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังขึ้น
*******************
หมายเหตุ เนื้อหาคำพิพากษายังไม่จบ ยังมีการพิจารณาประเด็นอื่นๆ รวมถึงข้อสรุปเหตุผลสำคัญในการยกฟ้องนายทักษิณ ติดตามตอนต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา