
"...เห็นว่า บทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง เป็นเพียงกำหนด ระยะเวลาดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเร่งรัดให้การไต่สวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่กำหนดอายุความฟ้องร้องคดีอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 จึงไม่มีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์..."
เป็นอีกหนึ่งคดีทุจริตที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน
สำหรับคดีกล่าวหา นายสุภคิน วงศ์ษา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่กับพวก ทุจริตโครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการของผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้า รายย่อยในเขตเทศบาลเมืองต้นเปา ปีงบประมาณ 2555 ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา
โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จากเดิม ยกฟ้อง แก้เป็น ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

น่าสนใจว่า ทำไม ศาลอุทธรณ์ ถึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดีดังกล่าว
@ จำเลย ยกเหตุ ป.ป.ช. สอบสวนไต่สวนมิชอบด้วยกม. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบยืนยันข้อมูลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนี้ พบว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 จำเลยบางราย ได้ยื่นคำขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ในปัญหาข้อกฎหมายว่า เนื่องจากคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งที่ 305/2558 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2558 แต่งตั้งองค์คณะพนักงานไต่สวนเพื่อดำเนินการ ไต่สวนข้อเท็จจริง และได้แจ้งรายงานและสำนวนการไต่สวนคำวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิด และในการประชุมคณะไต่สวน ครั้งที่ 69/2564 ตามระยะเวลาการไต่สวนจนถึงวันที่รายงานการไต่สวน และมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาสองปี ตามมาตรา 48 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการตรวจสอบ และไต่สวน พ.ศ. 2561 จึงเป็นการสอบสวนไต่สวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ (หรือ อัยการสูงสุด ฟ้องร้องคดีนี้แทนป.ป.ช.) จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
@ โจทก์ยื่นคัดค้านไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีชอบด้วยกม.
ขณะที่ โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคท้าย ให้อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการไต่สวน และมีความเห็น หรือวินิจฉัย หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และอำนาจอื่นที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ถึงแม้ว่าจะดำเนินการล่วงนพ้นเลยระยะเวลา ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม การกำหนดระยะเวลาตาม มาตรา 48 วรรคหนึ่งหรือวรรคสามเป็นเพียงการกำหนดระยะเวลา เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเท่านั้น ไม่ทำให้การไต่สวนเป็นการไม่ชอบ หรือเป็นการตัดอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการ การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้ จึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
ต่อมาโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุม ปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า บทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 192 วรรคสอง ระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันเริ่มดำเนินการไต่สวนดังกล่าว เป็นเพียงกำหนดระยะเวลาเร่งรัดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยพลันตามระยะเวลาที่กำหนด แต่มิได้กำหนดว่า หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัยให้แล้วเสร็จเกินสองปีนับแต่เริ่มดำเนินการไต่สวนจะส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายอย่าง ป.ป.ช. หรือไม่
ประกอบกับบทบัญญัติตามมาตรา 48 วรรคท้าย บัญญัติให้ แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นหรือ วินิจฉัยเกินกว่าสองปีตามมาตรา 48 วรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีอำนาจ ดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นหรือวินิจฉัย หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ต่อไป
@ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้
เห็นว่า บทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง เป็นเพียงกำหนด ระยะเวลาดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อเร่งรัดให้การไต่สวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่กำหนดอายุความฟ้องร้องคดีอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 จึงไม่มีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์
ดังจะเห็นได้จากความในมาตรา 48 วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า “ภายใต้กำหนดอายุความ เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังคงมีหน้าที่และอำนาจที่จะดำเนินการไต่สวน และมีความเห็น หรือวินิจฉัย หรือดำเนินการตามหน้าที่และ อำนาจต่อไป แต่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนและดำเนินการลงโทษ ผู้ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่กรณีโดยเร็ว”
ดังนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 151, 157, 162 (1) (4) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172,192 และโจทก์ฟ้องภายในอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 แล้ว
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
แต่เนื่องจาก ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่า จำเลยทั้งสี่ กระทำความผิดตามฟ้อง หรือไม่ ดังนั้น เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยในประเด็นปัญหาอื่นต่อไป
พิพากษาให้พิพากษาศาลชั้นต้น ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
****************
ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าทำไมถึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดีดังกล่าว
ส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาในคดีนี้ มีรายละเอียดเป็นอย่างไร สำนักข่าวอิศรา จะนำมาเสนอในตอนต่อไป

อ้างอิงภาพจาก https://brickinfotv.com/
อนึ่งสำหรับ นายสุภคิน วงศ์ษา อดีตนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เคยมีคดีกรณีร่ำรวยผิดปกติ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ตีตกข้อกล่าวหาหลังพิจารณารายงานการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าร่ำรวยผิดปกติ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป เคยลงสมัคร สส.ในนามพรรครวมแผ่นดินในการเลือกตั้งปี 2566 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
สำหรับคดีทุจริตโครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการของผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้า รายย่อยในเขตเทศบาลเมืองต้นเปา ปีงบประมาณ 2555 นั้น
ปัจจุบันศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาดว่ามีการกระทำความผิด นายสุภคิน และพวก ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในชั้นศาล

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา