เผยมติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ ตีตกข้อกล่าวหา 'สุภคิน วงศ์ษา' อดีตนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ เงินกู้ยืมลดลง 1,100,000 บาท หลังพิจารณารายงานการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงพยานหลักฐานเพียงพอ ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอกฉันท์ตีตกข้อกล่าวหา นายสุภคิน วงศ์ษา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ในคดีร่ำรวยผิดปกติ หลังพิจารณารายงานการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า นายศุภคิน วงค์ษา ร่ำรวยผิดปกติ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
คดีนี้ ป.ป.ช. ระบุข้อกล่าวหาว่า นายสุภคิน วงศ์ษา มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติไม่สัมพันธ์กับรายได้ กรณีมีเหตุ อันควรสงสัยว่าร่ำรวยผิดปกติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 113 และมาตรา 115
พฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำผิด โดยสรุประบุว่า ผลการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของนายสุภคิน วงศ์ษา กรณีพ้นจากตำแหน่งปรากฏว่าผู้ยื่นมีทรัพย์สินเพิ่มมากกว่ารายได้ โดยรายการที่มีสาระสำคัญได้แก่ เงินกู้ยืมลดลงเป็นเงิน 1,100,000 บาท โดยผู้ยื่นกล่าวอ้างว่านางบัวคำ ปันตัน (มารดา) เป็นผู้ชำระหนี้แทน โดยการกู้ยืมเงินและนำที่ดินไปจำนอง
แต่จากการตรวจสอบเชิงลึก ปรากฏว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่า นางบัวคำ ปันตัน ได้ที่ดินที่นำไปจำนองนั้นมาอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ปรากฏยังไม่สามารถรับฟังได้ว่านางบัวคำ ปันตัน เป็นผู้ชำระหนี้ดังกล่าวแทน เนื่องจากยังมีเหตุอันควรสงสัย ถึงแหล่งที่มาของเงินที่นำไปชำระหนี้นั้น
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า นายสุภคิน วงศ์ษา ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน (ตามประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2554)
จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า นายสุภคิน วงศ์ษา เป็นลูกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 2 ฉบับ จำนวนเงิน 1,500,000 บาท และจำนวนเงิน 200,000 เจ้าหนี้ได้ยื่นฟ้องนายสุภคินต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้ชำระหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 1,578,000 บาท
ต่อมาได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันโดยนายสุภคินตกลงตกลงชำระหนี้เป็นเงิน 1,200,000 บาท ชำระในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำนวน 100,000 บาท หนี้ที่เหลือจำนวน 1,100,000 บาท ตกลงผ่อนชำระ
ภายหลังศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว นายสุภคินได้ชำระหนี้บางส่วน คงเหลือหนี้จำนวน 1,000,000 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 เจ้าหนี้ได้ยื่นฟ้องนายสุภคินต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและขอให้พิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย นายสุภคินชี้แจงว่านางบัวคำมารดาของตนเป็นผู้ชำระหนี้แทน โดยเงินที่นำมาชำระหนี้นั้นได้กู้ยืมและได้นำที่ดิน นส.3 เลขที่ 12 หมู่ 3 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จำนองไว้เพื่อเป็นประกันและได้นำเงินที่กู้ยืม และชำระหนี้
นางบัวคำชี้แจงว่าได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระหนี้แทนนายสุภคินโดยการกู้เงิน และจำนองที่ดินเป็นประกัน และที่มาของที่ดินที่นำไปจำนองคือ ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมได้จำนองเป็นประกันหนี้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด ร่วมกับที่ดินแปลงอื่น ๆ รวม 17 แปลง ต่อมาตนจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายและยึดที่ดินที่ค้ำประกันจำนวนหลายแปลง นายนเรศได้เข้ามาช่วยปลดภาระหนี้สินเพื่อไม่ให้ที่ดินต้องถูกยึด เป็นเงินประมาณ 14,000,000 บาท
โดยที่นางบัวคำตกลงกับว่าหากมีเงินจะขอซื้อที่ดินทั้งหมดกลับคืน แต่ปรากฏว่าไม่สามารถซื้อที่ดินกลับคืนได้ นายนเรศตกลงคืนที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 12 ให้แก่ตน เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัยที่อยู่มาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ ส่วนที่ดินที่เหลือนายนเรศไม่ได้คืนให้ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนจากการเข้าไปช่วยเหลือปลดภาระหนี้สิน โดยไม่ได้ชำระเงินค่าที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายนเรศแต่อย่างใด และตนได้ขอให้ นายนเรศ ช่วยปลดภาระหนี้โดยให้ซื้อที่ดินจำนวน 17 แปลง และตกลงหาผู้มาซื้อที่ดินเพื่อใช้หนี้ หากมีกำไรก็จะแบ่งกัน แต่ติดต่อผู้มาซื้อไม่ได้ครบตามจำนวน
ต่อมาหลายปีไม่สามารถหาผู้มาซื้อที่ดินได้ จึงได้เจรจากับนายนเรศขอร้องให้โอนที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของตนจำนวน 2 แปลง เนื่องจากเป็นที่ดินที่อยู่อาศัยมานานและเป็นบ้านที่อาศัยอยู่กับลูกทั้งสองคน และครอบครัว
ส่วนที่ดินแปลงที่เหลือไม่ประสงค์ที่จะหาผู้มาซื้อที่ดินดังกล่าวแล้ว นายนเรศตกลงโอนที่ดินทั้งสองแปลงที่เป็นที่ตั้งของบ้านพักคืนให้ตนนายนเรศชี้แจงข้อเท็จจริง และได้ให้ถ้อยคำว่าตนทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เดิมก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรี ตนประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ รู้จักนางบัวคำเกี่ยวกับการติดต่อซื้อขายที่ดิน มีผู้แนะนำให้นางบัวคำ ปันตัน ติดต่อตนให้ช่วยปลดภาระหนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ประมาณ 14,000,000 บาท หนี้ดังกล่าวมีที่ดินจำนองเป็นประกันจำนวน 17 แปลง ในการปลดภาระหนี้นางบัวคำ ตกลงขายที่ดินที่จำนองให้เป็นชื่อของตน โดยที่นางบัวคำจะหาผู้มาซื้อที่ดินและนำเงินชดใช้หนี้ พร้อมทั้งให้ที่ดินบางส่วนข้างต้น เป็นค่าตอบแทน จึงตกลงช่วยปลดภาระหนี้และได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2556 ไว้ต่อกัน เมื่อได้ชำระหนี้ให้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ครบถ้วนแล้วจึงได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน ทั้ง 17 แปลง
ภายหลังจากที่ได้ซื้อที่ดินแล้ว นางบัวคำติดต่อขายที่ดินได้ประมาณ 4 แปลง รวมราคาประมาณ 6,000,000 บาท
ต่อมานางบัวคำปันตัน ไม่สามารถหาผู้มาซื้อที่ดินที่เหลือได้ ตนได้แจ้งว่ามีความจำเป็นต้องหาผู้มาซื้อที่ดินที่เหลือ นางบัวคำจึงขอร้องว่าที่ดินจำนวน 2 แปลง ได้แก่ น.ส. 3 เลขที่ 12 และ เลขที่ 44 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่ตั้งบ้านพักของนางบัวคำ ซึ่งได้อาศัยอยู่มานานแล้วจึงขอที่ดินสองแปลงดังกล่าว ตนเห็นว่านางบัวคำมีอายุมากและมีความผูกพันกับบ้านดังกล่าว และเมื่อคำนวณราคาที่ดินที่เหลือเพียงพอกับหนี้สินและผลประโยชน์ ตอบแทนที่ได้รับ จึงได้โอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว คืนให้นางบัวคำ ที่ดินจำนวน 17 แปลงได้มีการจดทะเบียนจำนองเป็นประกันต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้โอนสิทธิการรับจำนองให้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด มูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 2 ฉบับ วันที่ 27 กรกฏาคม 2549 จำนวน 1,500,000 บาท และจำนวน 200,000 บาท เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่นายสุภคินจะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554
โดยเจ้าหน้ี้ได้ยื่นฟ้องนายสุภคิน ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ชำระหนี้ตามสัญากู้ยืมทั้งสองฉบับข้างต้นในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554 เป็นการยื่นฟ้องคดีภายหลังจากที่นายสุภคินเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา ประมาณ 4 เดือน และการชำระหนี้ก็สืบเนื่องจากที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องนายสุภคินเป็นคดีล้มละลายซึ่งหากศาลพิพากษาให้ล้มละลายก็จะส่งผลถึงการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีประกอบกับเมื่อพิจารณารายการจดทะเบียนที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 12 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
พบว่า นางบัวคำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาก่อนที่นายสุภคินจะได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา ที่ดินดังกล่าวได้มีการจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด ไว้แล้วก่อนที่นางบัวคำ จะได้รับกรรมสิทธิ์ โดยการยกให้จากนางสาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2531 และต่อมานางบัวคำก็ได้นำที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้ต่อเจ้าหนี้อีกจำนวนหลายราย ได้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และนางสกาวรัตน์ การจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้กับนางสกาวรัตน์เป็นการจำนองเป็นประกันการกู้ยืมเงิน จำนวน 1,250,000 บาท การกู้ยืมเงินระหว่างนางบัวคำและนางสกาวรัตน์
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 71/2566 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 พิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉัน ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผุ้ไต่สวนเบื้องต้นว่า จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า นายศุภคิน วงค์ษา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ถูกกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป