
"...หาก ‘ปักหมุด’ 31 ม.ค.69 เป็น ‘วันยุบสภา’ และมีวันที่ 29 มี.ค.69 เป็น ‘หมุดหมาย’ เลือกตั้ง ตาม ‘ไทม์ไลน์’ ของนายบวรศักดิ์ ระหว่างนั้น นับนิ้วแล้ว รวม 57 วัน ดังนั้น ‘เส้นตาย’ ที่สส.ต้อง ‘ย้ายพรรค’ คือ ก่อนวันที่ 28 ก.พ.69..."
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนครั้งสำคัญของการเมืองไทย เป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตความชอบธรรมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ก่อตัวขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ภายหลังปรากฎ คลิปเสียงสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา-อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กรณีเจรจาข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสำคัญ เปลี่ยนรัฐบาล-เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
ผสมโรงกับโชคชะตากรรมของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องกลับไปชดใช้วิบากรรมในเรือนจำ กรณี ‘ป่วยทิพย์-ติดคุกทิพย์’ กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเข้า-ย้ายออก ของ สส. ระดับชาติ-นักการเมืองท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่า ‘บ้านใหญ่’
โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่ดูจะ ‘เนื้อหอม’ ภายหลัง ฟ้าลิขิต กลายเป็น ‘นายกฯ คนที่ 32’ โดยการสนับสนุนของพรรคประชาชน ที่มีเงื่อนไข แก้ไขรัฐธรรมนูญ - ยุบสภา - เลือกตั้ง ภายในระยะเวลา 4 เดือน สวนทางกับ พรรคเพื่อไทย ที่กลายเป็น ‘ผึ้งแตกรัง’ มี ‘สส.บ้านใหญ่ - รุ่นใหญ่’ ทยอยโบกมือลา-ย้ายพรรค
ล่าสุด-แผลสด คือ ‘พรรคเก่าแก่’ พรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังจะเกิดการโยกย้าย-ลาออกครั้งใหญ่ หลังจาก ‘หัวขบวน’ ที่จะ ‘ถือธง’ นำทัพเลือกตั้งในครั้งหน้า เกิดความชัดเจน คือ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่คัมแบ็ก ‘พรรคสีฟ้า’ เป็น ‘สมัยที่สาม’ ชนิดไร้คู่แข่ง-ไม่พลิกโผ
“ผมเรียนตรงๆ ว่า ผมใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พูดคุยกับบุคลากรของพรรคเยอะ ท่าน สส.หลายท่านที่ให้การสนับสนุนผมเมื่อวันเสาร์ (18 ต.ค.68) พูดกับผมก่อนวันเสาร์แล้วว่า ท่านอาจจะไม่ได้ร่วมงานกับผมต่อ … หลายท่านใช้คำว่า มีการพูดคุยกันลึกไปแล้ว มีอยู่หลายคน เราก็ยอมรับ”
‘อภิสิทธิ์’ สารภาพกับสิ่งที่เป็น ‘แรงกระแทก’ ของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นสิ่งที่ต้องรับมือหลังจากที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ลงคะแนนเลือกให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหลังจากนั้น ‘เพียงวันเดียว’
@เส้นตาย สส.ย้ายพรรค 30 วันก่อนเลือกตั้ง
ประกอบกับก่อนหน้านี้ ‘บวรศักดิ์ อุวรรณโณ’ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายที่ออกมา กางไทม์ไลน์ยุบสภา-เลือกตั้งเป็นฉากทัศน์ ปฏิทินทางการเมืองให้กับ นักการเมือง ว่า วัน ว. เวลา น. ยุบสภา คือ วันที่ 31 ม.ค.69 และ เลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค.69
อ่านประกอบ : ‘บวรศักดิ์’ แนะ 2 ฉากทัศน์ ลงมติร่างรธน.วาระสาม กางไทม์ไลน์ ยุบสภา-เลือกตั้งพ่วงประชามติ
กลายเป็น ‘ตัวเร่งเร้า’ ของ สส.ทุกพรรค-ทุกขั้วค่าย ที่ต้องย้ายสำมะโนครัว ร่วมชายคากับพรรคการเมืองที่จะไปสวมเสื้อสู้ศึกเลือกตั้ง
ยิ่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ.2561 มาตรา 41 (3) กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง
“เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลา 90 วันดังกล่าวให้ลดลงเหลือ 30 วัน”
หาก ‘ปักหมุด’ 31 ม.ค.69 เป็น ‘วันยุบสภา’ และมีวันที่ 29 มี.ค.69 เป็น ‘หมุดหมาย’ เลือกตั้ง ตาม ‘ไทม์ไลน์’ ของนายบวรศักดิ์ ระหว่างนั้น นับนิ้วแล้ว รวม 57 วัน ดังนั้น ‘เส้นตาย’ ที่สส.ต้อง ‘ย้ายพรรค’ คือ ก่อนวันที่ 28 ก.พ.69
@ภูมิใจไทย เนื้อหอม - สส.ไหลเข้า
ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยได้ดำเนินการตามกลยุทธ์การขยายตัวอย่างเข้มข้นในปี 2568 โดยใช้ความได้เปรียบจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และการที่รัฐบาลแกนนำอ่อนแอลงจากวิกฤตความชอบธรรม ทำให้พรรคภูมิใจไทยสามารถดึงดูดบุคลากรจากพรรคที่กำลังประสบปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของพรรคภูมิใจไทยในปี 2568 คือ การรวมฐานอำนาจในภาคใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ
กลุ่มบ้านใหญ่ชุมพร (ก.ย. 2568)
นายชุมพล จุลใส พร้อมอดีต สส. และอดีต สส. ในกลุ่มบ้านใหญ่-ชุมพร ได้ตัดสินใจลงชื่อและสวมเสื้อเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ให้การต้อนรับ การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความเคลื่อนไหวสำคัญทางการเมืองระดับชาติ นั่นคือการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรี ‘ครม. อนุทิน 1’ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย การเคลื่อนย้ายนี้บรรจบกับช่วงเวลาที่ ภูมิใจไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้กลุ่มบ้านใหญ่ชุมพรสามารถเข้าถึงอำนาจรัฐได้ทันที การดึงกลุ่มบ้านใหญ่ที่มีฐานเสียงและกลไกการเลือกตั้งที่เข้มแข็งจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาไว้ในสังกัดเป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของ ภูมิใจไทยในการเพิ่มอำนาจต่อรองภายในกลุ่มรัฐบาล และเป็นการลดความแข็งแกร่งของพันธมิตรไปพร้อมกัน
การแปรพักตร์ของ สส. ประชาธิปัตย์ (ก.ย. 2568)
ในช่วงเดือนกันยายน 2568 สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน ได้แก่ นายสรรเพชญ บุญญามณี (สงขลา), นายสมยศ พลายด้วง (สงขลา), และ นายราชิต สุดพุ่ม (นครศรีธรรมราช) ได้ร่วมออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลและเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เป็นนายกรัฐมนตรี
แรงจูงใจในการตัดสินใจของ สส. กลุ่มนี้คือการอ้างถึง "ปัญหาความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย" ซึ่งพวกเขาอ้างถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พวกเขาอ้างว่ารัฐบาลสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศและทำลายศักดิ์ศรีของประเทศโดยรวม และการสนับสนุนนายอนุทินเป็นการใช้เอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ในการยืนยันเสียงที่ประชาชนมอบให้ การแปรพักตร์ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางความมั่นคงสำหรับนักการเมืองภาคใต้ที่กำลังมองหาทางเลือกจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เสื่อมถอยอย่างต่อเนื่อง และพรรคเพื่อไทยที่ประสบวิกฤตความชอบธรรม
ดึง สส. จากพรรคใหญ่ในภาคอีสาน
พรรคภูมิใจไทยไม่ได้จำกัดการขยายตัวอยู่แค่ในภาคใต้เท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การรุกคืบเข้าสู่ฐานที่มั่นเดิมของพรรคเพื่อไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในเดือนตุลาคม 2568 มีการหารือระหว่างกลุ่มแกนนำในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจรัฐบาลในขณะนั้น กับแกนนำพรรคภูมิใจไทย เพื่อเตรียมการนำทัพ สส. อุบลราชธานีถึง 11 เขต ให้ "ไหลข้ามค่าย" เข้าสู่พรรคภูมิใจไทยสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป หากการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานที่เป็นฐานเสียงหลัก
การใช้เครื่องมือของรัฐบาล—ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณ หรือการช่วยเหลือโครงการพัฒนาในท้องถิ่น—ในการดึงดูด สส. ที่ประสบปัญหาความไม่มั่นคงในพรรคเดิม ทำให้พรรคภูมิใจไทยสามารถวางตำแหน่งตัวเองเป็นแกนหลักของการเมืองภูมิภาค กลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่า ภูใจไทยไม่เพียงแต่ต้องการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่กำลังมุ่งเป้าที่จะลดทอนอำนาจของพรรคอันดับหนึ่งอย่างพรรคเพื่อไทย และก้าวขึ้นมาเป็นพลังทางการเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในภาพรวม
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รวบรวมรายชื่อบางส่วนของอดีต สส. ที่เคยย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 และหลักเลือกตั้ง (ปี 2568) มีดังนี้
ก่อนเลือกตั้ง
จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เช่น
- นายปฐมพงศ์ สูญจันทร์
- นายประทวน สุทธิอำนวยเดช
- นางสาวพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์
- นายมณเฑียร สงฆ์ประชา
- นายกฤษณ์ แก้วอยู่
- นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์
จากพรรคเพื่อไทย (พท.) เช่น
- นายจักรพรรดิ ไชยสาส์น
- นายธีระ ไตรสรณกุล
- นายนพ ชีวานันท์
- นายนิยม ช่างพินิจ
- นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร
- นายสุชาติ ภิญโญ
จากพรรคก้าวไกล/อนาคตใหม่ เช่น
- นายวิรัช พันธุมะผล
- นายฐิตินันท์ แสงนาค
- นายกฤติเดช สันติวชิระกุล
- นายกิตติชัย เรืองสวัสดิ์
- นายคารม พลพรกลาง
- นายเอกภพ เพียรพิเศษ
- นายเกษมสันต์ มีทิพย์
จากพรรคอื่น ๆ เช่น
- นางบุณย์ธิดา สมชัย (ประชาธิปัตย์)
- นายเดชทวี ศรีวิชัย (เสรีรวมไทย)
- นายธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ (เศรษฐกิจไทย)
- นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ (เศรษฐกิจไทย)
- นันทนา สงฆ์ประชา (ประชาภิวัฒน์)
- นายอารี ไกรนรา (เพื่อชาติ)
การย้ายเข้าล่าสุด
-
กลุ่มจากพรรคเพื่อไทย (พท.)
-
นายเกรียง กัลป์ตินันท์: อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีกระแสข่าวว่าจะนำกลุ่ม สส. จังหวัดอุบลราชธานีหลายคนเข้าพรรคร่วมกับภูมิใจไทย
-
-
กลุ่มจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
-
สส. ชุมพร (มีรายงานว่า สส. ชุมพรจากพรรค รทสช. ย้ายซบภูมิใจไทยแล้ว)
-
-
กลุ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)
-
นายสรรเพชญ บุญญามณี (สส. สงขลา)
-
นายสมยศ พลายด้วง (สส. สงขลา)
-
นายราชิต สุดพุ่ม (สส. นครศรีธรรมราช) (ทั้งสามรายมีรายงานว่าย้ายขั้วร่วมสนับสนุนนายอนุทิน)
-
กลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี: มีรายงานว่ากลุ่มนี้เตรียมย้ายมาร่วมพรรคภูมิใจไทยเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
-
@พรรคกล้าธรรม ขั้วอำนาจใหม่
พรรคกล้าธรรม สร้างรากฐานที่มั่นคงขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่ม สส. ที่ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐในช่วงปลายปี 2567 การรวมตัวครั้งนี้ทำให้พรรคกล้าธรรมเริ่มต้นปี 2568 ด้วยจำนวน สส. อย่างเป็นทางการที่ 24 คน ซึ่งถือเป็นพรรคขนาดกลางที่มีอำนาจต่อรองสูงในรัฐบาลผสม โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรค และ น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค
การจัดโครงสร้างพรรคใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พร้อมกับการยืนยันว่าพรรคกล้าธรรมจะไม่ใช่ พรรคสาขาของพรรคใด แต่จะทำงานเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
การมีฐาน สส. ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มต้นปีทำให้พรรคกล้าธรรม กลายเป็นทางเลือกที่มีอำนาจต่อรองทันทีสำหรับ สส. ที่ไม่พอใจในพรรคเดิม การที่พรรคกล้าธรรม เป็นพรรคที่เน้นการทำงานเชิงปฏิบัติและการเมืองแบบบ้านใหญ่ จึงสามารถข้ามกำแพงอุดมการณ์เพื่อดึงดูดผู้เล่นจากหลากหลายกลุ่ม
@สส.พรรคประชาชน ย้ายมาซบกล้าธรรม
การเคลื่อนไหวที่สร้างความฮือฮาที่สุดของพรรคกล้าธรรมคือการดึงดูด น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 จากพรรคประชาชน (ซึ่งเป็นพรรคที่เคยชูธงด้านอุดมการณ์ความก้าวหน้า) การตัดสินใจยุติบทบาทกับพรรคประชาชนเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2568
น.ส.กฤษฎิ์แถลงเปิดใจโดยให้เหตุผลว่า อุดมการณ์ไม่ตรงกันโดยวิจารณ์ว่าพรรคประชาชนมุ่งเน้นการ "สร้างพรรคมากกว่าการสร้างคนและการแก้ปัญหาให้ประชาชน" ในทางตรงกันข้าม
การตัดสินใจย้ายไปพรรคกล้าธรรมเป็นผลมาจากการที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ช่วยประสานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ศรีราชาถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะกรณีอ่างเก็บน้ำบางพระ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า สำหรับนักการเมืองท้องถิ่น การเข้าถึงบุคคลที่มีอำนาจและสามารถ "แก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม" มีน้ำหนักเหนือกว่าความภักดีทางอุดมการณ์
น.ส.กฤษฎิ์ ยังปฏิเสธข้อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง สส. เพื่อให้มีการเลือกตั้งซ่อม โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เสียงบประมาณในการเลือกตั้งซ่อม
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพรรคกล้าธรรมไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวน สส. ให้พรรคเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณว่ากลยุทธ์ 'นักแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ' (Pragmatic Fixer) ของ ร.อ.ธรรมนัส สามารถดึงดูดบุคลากรที่ต้องการความเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐเพื่อตอบสนองต่อประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งอีกด้วย
@อดีต หน.เพื่อไทยลาออก
เหตุการณ์เลือดไหลล่าสุด คือ พรรคเพื่อไทย คือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ลาออกจาก การเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้นายสมพงษ์พ้นจากตำแหน่ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคโดยอัตโนมัติ
โดยนายสมพงษ์ เผยสาเหตุว่า ตนเองถูกลดบทบาทลง และมีการอ้างถึง "ผู้มีบารมีในพรรค" เข้ามาแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกตัวผู้สมัคร สส. โดยไม่ผ่านกระบวนการที่เหมาะสม และยืนยันว่า การลาออกครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการถูก 'ดูด' หรือย้ายไปพรรคอื่น
ความผันผวนในปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า ระบบพรรคการเมืองไทยยังคงมีความยืดหยุ่นสูง และความภักดีต่อตัวบุคคล (บ้านใหญ่) และการเข้าถึงอำนาจรัฐมีความสำคัญมากกว่าความภักดีต่อสถาบันพรรค (Party Institution) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักยุทธศาสตร์ทางการเมืองจำเป็นต้องพิจารณาในการเตรียมพร้อมรับมือกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา