
“…โดยทางอ้อมนั้น หมายถึง การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่อาจกระทำในลักษณะของคณะบุคคล หรือคณะกรรมการ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคล หรือ คณะกรรมการดังกล่าว และการมีส่วนได้เสียที่มีลักษณะเป็นการได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะบุคคลที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นเองที่ไปกระทำหรือได้รับประโยชน์ แต่รวมถึงคู่สมรส หรือ บุตร หรือแม้แต่บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปกระทำการแทนด้วย รวมทั้งจะต้องพิจารณาตามหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ว่า มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตน กับประโยชน์ส่วนรวมของผู้ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดเชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย (พท.) และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น สส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม นับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
สืบเนื่องจากกรณีนายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) รวม 121 คน เสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 3 โครงการ มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
สำหรับ 3 โครงการ ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน และประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย (โครงการเยาวชน) 2.โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (โครงการประชาชน) และ 3. โครงการส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (โครงการสตรี)
สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน แปรญัตติงบปี 69 ลงพื้นที่ตัวเอง ไปแล้วสองตอน ในส่วนนี้จะเป็น ตอนจบ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง สส.แลพเพิกถอนสิทธิรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ :
- เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม (1) ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ แปรญัตติงบปี 69 ลงพื้นที่ตัวเอง
- เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม(2) ‘พิเชษฐ์’ ลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วย
@ มีส่วนได้เสียจากการใช้งบประมาณนั้น
ประเด็นที่สอง มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล หรือไม่ หากผู้ถูกร้อง เป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 144 วรรคสาม หรือไม่เพียงใด
เห็นว่า การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นผู้แทนประชาชนทั้งประเทศ สถานะของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้เป็นผู้แทนเฉพาะพื้นที่ หรือ กลุ่มบุคคลที่เลือกตนเองเท่านั้น ไม่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะได้รับเลือกตั้งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หรือ การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และไม่ว่าจะมาจากเขตเลือกตั้งใดหรือจังหวัดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา 114
สำหรับการพิจารณาว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง แยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่หนึ่ง การมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่ายโดยทางตรง หมายถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นผู้ใช้งบประมาณรายจ่ายด้วยตนเอง และกรณีที่สอง การมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย

โดยทางอ้อมนั้น หมายถึง การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่อาจกระทำในลักษณะของคณะบุคคล หรือคณะกรรมการ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคล หรือ คณะกรรมการดังกล่าว และการมีส่วนได้เสียที่มีลักษณะเป็นการได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะบุคคลที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นเองที่ไปกระทำหรือได้รับประโยชน์ แต่รวมถึงคู่สมรส หรือ บุตร หรือแม้แต่บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปกระทำการแทนด้วย รวมทั้งจะต้องพิจารณาตามหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ว่า มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตน กับประโยชน์ส่วนรวมของผู้ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป
@ ใช้อำนาจรองประธานสภาฯต้องไม่ขัดต่อสถานะ สส.
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร 2 สถานะ คือ สถานะเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริให้เสนอคำขอจัดสรรงบประมาณ หรือ คำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณในโครงการทั้งสามเป็นการใช้อำนาจในสถานะของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรมีประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามมติของสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 118 (1) บัญญัติให้ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก มาตรา 119 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่และอำนาจดำเนินกิจการของสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นไปตามข้อบังคับ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่และอำนาจตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมอบหมายตามรัฐธรรมนูญ หมายความว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องมีสถานะพื้นฐานมาจากความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่และอำนาจในเชิงบริหาร เพื่อดำเนินกิจการของสภาผู้แทนราษฎรตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมอบหมาย
ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องไม่ขัดต่อสถานะพื้นฐานความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง โดยการใช้อำนาจของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ต้องไม่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการผู้ใด ซึ่งรวมถึงผู้ถูกร้องในสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่ผู้ถูกร้องเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ นั้นด้วย ‘หากผู้ถูกร้องกระทำการเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้เสียในการใช้งบประมาณดังกล่าวย่อมเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์สาธารณะ
ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นที่ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (2) ซึ่งมาตรา 185 บัญญัติว่า
“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะ หรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภากระทำการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้ (2) กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ หรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นการดำเนินการในกิจการของรัฐสภา ....”
@ มีเจตนาเพื่อนำงบฯ ไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียง-สร้างความนิยม
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่มีการเสนอคำของบประมาณและคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของผู้ถูกร้องเกี่ยวกับโครงการทั้งสาม ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง รวมทั้งที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการทั้งสามตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 คำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 และคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 ลงวันที่วันเดียวกัน คือ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 มีหน้าที่และอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาและคัดเลือกพื้นที่ที่โครงการทั้งสามจะไปดำเนินกิจกรรมตามคำขอรับการสนับสนุนจากพื้นที่ต่าง ๆ
เมื่อผู้ถูกร้องเป็นผู้ดำริให้เสนอโครงการทั้งสามและผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เชื่อว่าย่อมใช้อำนาจให้คณะกรรมการแต่ละคณะอนุมัติโครงการในเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้องได้
การดำเนินการโครงการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องมีเจตนาเพื่อนำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน ไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียง หรือ สร้างความนิยมให้แก่ผู้ถูกร้องในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง อันเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการใช้สถานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประโยชน์ของตนเองในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งของตน เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อจัดทำโครงการทั้งสามต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แสดงให้เห็นเจตนา ของผู้ถูกร้องว่าต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่น หรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งต่อไป ถือได้ว่าผู้ถูกร้องทำการเสนอและแปรญัตติโครงการทั้งสามที่มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มิใช่เป็นเพียงการดำเนินการราชการประจำอย่างปกติในกิจการของรัฐสภา ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (2) ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
@ สิ้นสุดสมาชิกภาพ สส.- เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี
ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของผู้ถูกร้อง
เมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ทำให้มีตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงและต้องดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายในสี่สิบห้าวัน นับแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 จึงให้ถือว่าวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง คือ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่าน คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2568
มีประเด็นพิจารณาต่อไปว่า เมื่อวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องแล้ว จะต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลาเท่าใด เห็นว่า การกำหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นสิทธิทางการเมืองอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้อาสาเข้ามาทำประโยชน์ แก่ชาติบ้านเมืองในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องพิจารณาให้เป็นไปตาม หลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรระหว่างพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำให้ได้สัดส่วน กับโทษที่จะได้รับซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิของบุคคล
เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร ยังมิได้มีผลบังคับใช้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการใช้งบประมาณของแผ่นดิน จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ เกี่ยวกับโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนและประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และโครงการส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในงบประมาณปี พ.ศ. 2569 เป็นอันสิ้นผล
และวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 และให้ถือว่า วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คำวินิจฉัย ของศาลมีผลในวันอ่าน คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
อ่านข่าวประกอบ :
- ศาลรธน.สั่ง 'พิเชษฐ์' สิ้นสุดสภาพสส.-ตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เจตนาแปรงบฯลงพื้นที่
- ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี(1)
- ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี (จบ)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา