“...แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นอันต้องห้ามแล้ว รูปแบบการแปรญัตติเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจใช้จ่ายเงินงบประมาณยังคงเกิดขึ้นตลอดมาและมีจำนวนสูงขึ้น พฤติกรรมแห่งการกระทำส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการดำเนินการร่วมกันหลายฝ่ายอย่างครบวงจร โดยร่วมกันทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่ประจำ ประกอบกับรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้บัญญัติสภาพบังคับแก่ผู้กระทำการฝ่าฝืน ไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสาม จึงกำหนดโทษในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีการกระทำ ที่มีส่วนได้เสียในการใช้จ่ายงบประมาณ ในกรณีผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น...”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดเชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย (พท.) และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ในขณะนั้น สิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น สส. ลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม นับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
สืบเนื่องจากกรณีนายภัณฑิล น่วมเจิม และ สส.พรรคประชาชน รวม 121 คน เสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือ การกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ สส. สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
สำหรับโครงการที่นำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน และประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย (โครงการเยาวชน) 2.โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (โครงการประชาชน) และ 3. โครงการส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (โครงการสตรี)
อ่านข่าวประกอบ : ศาลรธน.สั่ง 'พิเชษฐ์' สิ้นสุดสภาพสส.-ตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เจตนาแปรงบฯลงพื้นที่
สำนักข่าวอิศรา ขอนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม ตามคำวินิจฉัยที่ 15/2568 เรื่องพิจารณาที่ 17/2568 แต่เนื่องจากคำวินิจฉัยมีเนื้อหาจำนวนมาก จึงขอแบ่งออกเป็นสามตอน สำหรับตอนแรกจะเริ่มต้นตั้งแต่ในส่วนของ ข้อเท็จจริง ซึ่งสรุปได้ดังนี้
@ สำนักกฎหมาย สนง.เลขาฯสภาฯ เตือน เสี่ยง ฝ่าฝืน รธน.มาตรา 144
1. กรณีร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องมอบหมายให้ นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานทางการเมืองของผู้ถูกร้องจัดทำ “โครงการสนับสนุนและส่งเสริมประชาชนที่ร้องข้อร้องเรียนผ่านการพิจารณาของประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธาน สภาผู้แทนราษฎร” จำนวน 4 โครงการ
สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีความเห็นว่า การจัดทำโครงการดังกล่าว มีวิธีการดำเนินการในรูปแบบการให้ทุนและเงินช่วยเหลือ น่าจะขัดต่อพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 และพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมาย
อีกทั้งสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ที่กำหนดห้ามมิให้ สส. สว. หรือ กรรมาธิการ เสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ผู้นั้นมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
ผู้ถูกร้องมอบหมายให้ นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ ปรับเปลี่ยนโครงการดังกล่าวให้เหลือเพียง 3 โครงการ คือ (1) โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน และประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย (โครงการเยาวชน) (2) โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (โครงการประชาชน) และ (3) โครงการส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (โครงการสตรี)

@ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน
โดยผู้ถูกร้องลงนามให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการทั้งสาม และประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบคำของบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แต่ในชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับลดวงเงินงบประมาณตามคำขอของโครงการทั้งสามระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดทำคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พิจารณาแล้วเห็นชอบคำขอแปรญัตติรายการเสนอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในโครงการทั้งสาม
ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายดังกล่าว หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 บังคับใช้ เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว วิธีใช้จ่ายตามโครงการกำหนดให้ประชาชนยื่นคำขอจัดกิจกรรมต่อผู้ถูกร้องเพื่อให้ผู้ถูกร้องเสนอคำขอดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารโครงการทั้งสามพิจารณาอนุมัติคำขอจัดกิจกรรมซึ่งผู้ถูกร้องเป็นกรรมการในคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติคำขอด้วย ดังนี้
โครงการเยาวชน มีการขอรับการสนับสนุนการจัดอบรมและงบประมาณ จำนวน 2 คำขอ เป็นการจัดกิจกรรมในพื้นที่เขตอำเภอดอยหลวง และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้ง ของผู้ถูกร้อง
โครงการประชาชน มีการขอรับการสนับสนุนการจัดอบรมและงบประมาณ จำนวน 11 คำขอ พบว่ามีจำนวน 10 คำขอ ที่ขอจัดโครงการในพื้นที่เขตอำเภอแม่จัน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่ เขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง
โครงการสตรี มีการขอรับการสนับสนุนการจัดอบรมและงบประมาณ จำนวน 63 คำขอ พบว่ามีจำนวน 59 คำขอ ที่ขอจัดโครงการในพื้นที่เขตอำเภอดอยหลวง และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง
กรณีเป็นการกระทำที่ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
@
2. กรณีร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดทำคำของบประมาณในโครงการที่มีลักษณะเดียวกันกับโครงการทั้งสามตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ปรากฏตามบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เรื่อง การเสนอคำแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่ผู้ถูกร้องลงนามและระบุว่า “ให้เสนอคำแปรญัตติ” ในบันทึกข้อความดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผู้ถูกร้องซึ่งเป็น สส.มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
ผู้ร้องเห็นว่าการตรวจสอบการกระทำของสส. สว. เกี่ยวกับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง มิได้จำกัดให้การยื่นคำร้องต้องกระทำในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ แม้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว มิได้เป็นร่างกฎหมายที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาก็ตาม
แต่ผู้ถูกร้องซึ่งเป็น สส. และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กระทำการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีผลให้ สส.มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมมีอำนาจรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ดังนี้
1. มีคำวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพของ สส. และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม
2. มีคำวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้องรับผิดชดใช้เงินที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเงินจำนวน 178,125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสามและวรรคสี่
3. มีคำวินิจฉัยให้ผู้ถูกร้องรับผิดชดใช้เงินที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการจะได้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเงินจำนวน 593,560,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสามและวรรคสี่
4. มีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย โดยให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและมีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องระงับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายของโครงการทั้งสาม ตามงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับการจัดสรร
ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาเบื้องต้นมีว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องนี้ ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบเป็นกรณีที่ สส. จำนวน 121 คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
ซึ่งการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณในกระบวนการทางนิติบัญญัติของร่างกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย โดยแยกผู้มีอำนาจอนุมัติงบประมาณ ผู้มีอำนาจจัดทำงบประมาณ และผู้มีอำนาจบริหารงบประมาณ ออกจากกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณว่า สส. สว. หรือกรรมาธิการ เสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ตนมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย หรือไม่
@ ไม่รับพิจารณาพ.ร.บ.งบ 68 เหตุไม่อยู่ในกระบวนการอนุมัติงบประมาณ-นิติบัญญัติ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแล้ว จึงไม่อยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายในกระบวนการทางนิติบัญญัติ กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (7 ) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้อง ในส่วนนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย
ส่วนคำขอให้ผู้ถูกร้องชดใช้เงินคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย และคำขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยให้ผู้เกี่ยวข้องระงับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายของโครงการทั้งสาม ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้รับการจัดสรร เมื่อไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวแล้ว จึงไม่รับพิจารณาวินิจฉัยคำขอส่วนนี้ด้วย
ส่วนที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ผู้ถูกร้องเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ มีผลให้ตนมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง นั้น เป็นกรณี สส.จำนวนไม่น้อยกว่า หนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็น ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม และ พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (7) ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งรับคำร้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
@ ยกคำขอชดใช้เงินคืน-พร้อมดอกเบี้ย ชี้ ยังไม่มีความเสียหาย
สำหรับคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัย ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และให้ผู้ถูกร้องชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรง กรณีไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ให้ยกคำขอส่วนนี้
ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและเอกสารประกอบสรุปได้ว่า ผู้ถูกร้องเป็น สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย อำเภอแม่จัน (เฉพาะตำบลจันจว้าและตำบลจันจว้าใต้) อำเภอเชียงแสน อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงของ (เฉพาะตำบลครึ่ง ตำบลศรีดอนชัย ตำบลริมโขง ตำบลเวียง ตำบลสถาน และตำบลห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น สังกัดพรรคเพื่อไทย และดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ 49/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 มีอำนาจสั่งและปฏิบัติราชการแทนเกี่ยวกับการบริหารราชการ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในงานด้านกิจการงบประมาณ ผู้ถูกร้องมีภารกิจในด้านการกำกับการบริหารราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

โครงการทั้งสามนั้นเดิมผู้ถูกร้องนำเรียนประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดทำโครงการ จำนวน 4 โครงการ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นพ้องในหลักการ แต่ปรากฏว่าสำนักนโยบายและแผนเสนอให้ปรับโครงการเพื่อให้รูปแบบกิจกรรมเป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของโครงการให้เหลือเพียง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี
ต่อมาในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะกรรมาธิการฯ มีมติเห็นชอบกับรายการเสนอเพิ่มงบประมาณของหน่วยงานรัฐสภา เมื่อร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวพิจารณาเสร็จสิ้นและมีผลใช้บังคับ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับงบประมาณโครงการทั้งสาม ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเยาวชน คำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการ บริหารโครงการประชาชน และคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสตรี มีเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานกรรมการและผู้ถูกร้องเป็นกรรมการและที่ปรึกษาของคณะกรรมการบริหารโครงการทั้งสามคณะ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจกรรม จัดทำรายงาน
ต่อมาคณะกรรมการบริหารโครงการแต่ละโครงการ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการและคณะอนุกรรมการจัดกิจกรรม ซึ่งปัจจุบันโครงการทั้งสาม ดำเนินการจัดกิจกรรมไปแล้ว โดยโครงการเยาวชนดำเนินการไปแล้ว จำนวน 9 ครั้ง โครงการประชาชน ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 9 ครั้ง และโครงการสตรีดำเนินการไปแล้ว จำนวน 1 ครั้ง
โครงการทั้งสามดำเนินการโดยคณะกรรมการซึ่งผู้ถูกร้องมิได้เข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 การดำเนินการใด ๆ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลโครงการดังกล่าวจากคำขอที่เสนอเข้ามา ผู้ถูกร้องมิได้มีอำนาจให้ความเห็นชอบ สั่งการหรือร่วมพิจารณาคำขอให้จัดโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ใด ๆ หรือในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง
@ อ้าง โครงการต่อเนื่องงบปี 68
ส่วนกรณีปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นั้น สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายในลักษณะเดียวกันกับโครงการตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นโครงการต่อเนื่องจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ลงนามบรรจุโครงการดังกล่าวในร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 แล้ว ปัจจุบันอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
การที่ผู้ถูกร้องลงนามในบันทึกข้อความ กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่งนั้น เนื่องจากสำนักนโยบายและแผนแจ้งว่ามีการปรับลดวงเงินงบประมาณจากคำของบประมาณ ผู้ถูกร้องจึงมีดำริให้เสนอคำแปรญัตติเพิ่มงบประมาณดังกล่าว
ต่อมาสำนักนโยบายและแผนมีบันทึกข้อความให้ทบทวนคำขอแปรญัตติ และกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ไม่ควรเสนอคำแปรญัตติเพิ่มงบประมาณ สำหรับโครงการทั้งสาม สำนักนโยบายและแผนมีบันทึกข้อความถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยกเลิกคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณของโครงการทั้งสาม ผู้ถูกร้องไม่มีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และมิได้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
@ ไต่สวนพยาน 9 ปาก-คู่กรณียื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี
เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 วรรคสาม ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคล จำนวน 9 ปาก ได้แก่ นายภัณฑิล น่วมเจิม ผู้ร้อง นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ผู้ถูกร้อง นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานทางการเมืองของผู้ถูกร้อง ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นางวรรณฤทัย สงวนรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน นายกุลพล วัชรกาฬ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นายนาถะ ดวงวิชัย ผู้อำนวยการสำนักงาน ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ นายวรพงษ์ แพรม่วง วิทยากรชำนาญการ โดยให้จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นล่วงหน้าตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด
ผู้ร้องยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีมีสาระสำคัญเพิ่มเติมจากคำร้องว่า ผู้ถูกร้องใช้อำนาจในลักษณะการให้นโยบายที่นำไปสู่การจัดทำคำของบประมาณ หรือ การแปรญัตติ ย่อมเป็นการใช้อำนาจทั้งสองสถานะ ได้แก่ ในฐานะที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีผลให้ สส. มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
ผู้ถูกร้องยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี มีสาระสำคัญเพิ่มเติมจากคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ต้องเป็นพฤติการณ์ที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่อยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติของร่างกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเท่านั้น ผู้ถูกร้องไม่ว่าในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือกระทำการใด ๆ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
@ ศาลฯ กำหนดประเด็นวินิจฉัย 2 ประเด็น
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เอกสารของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง บันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของพยานบุคคล รวมทั้งคำเบิกความในวันไต่สวนพยาน และคำแถลงการณ์ปิดคดีของคู่กรณีและเอกสารประกอบแล้ว เห็นว่า คดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอ ที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยรวม 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม หรือไม่
ประเด็นที่สอง มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ สส. สว. หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลหรือไม่
หากผู้ถูกร้อง เป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 144 วรรคสาม หรือไม่ เพียงใด
พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นบทบัญญัติในหมวด 7 รัฐสภา ส่วนที่ 4 บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
“ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่าง พ.ร.บ. โอนงบประมาณรายจ่าย สส. จะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการ หรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพัน อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (2) ดอกเบี้ยเงินกู้ (3) เงินที่กำหนดให้จ่าย ตามกฎหมาย”
วรรคสอง บัญญัติว่า “ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ สส. สว. หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้”
วรรคสาม บัญญัติว่า “ในกรณีที่ สส. หรือ สว. มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญ ต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าว เป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็น สส. หรือ สว. ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุด สมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
แต่ในกรณีที่ครม. เป็นผู้กระทำการ หรือ อนุมัติให้กระทำการ หรือ รู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้ ครม. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย”
งบประมาณรายจ่ายของประเทศถือเป็นกรอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินที่เป็นเงินของประชาชนทั้งชาติ การตัดสินใจเกี่ยวกับเงินแผ่นดินต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนผ่านทางรัฐสภาในฐานะผู้แทนปวงชน โดยรัฐบาลต้องเสนอร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาในการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน เพื่อดำเนินกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติหลักการเกี่ยวกับงบประมาณของแผ่นดิน
โดยแยกผู้มีอำนาจในการจัดทำงบประมาณ อนุมัติงบประมาณ และบริหารงบประมาณออกจากกัน ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจเพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
โดยฝ่ายบริหารเป็นผู้จัดทำงบประมาณเพื่อเสนอต่อฝ่ายนิติบัญญัติ และทำหน้าที่บริหารงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ ตามหลักอำนาจริเริ่มทางการคลังเป็นของฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้อนุมัติงบประมาณตามที่ฝ่ายบริหารเสนอคำของบประมาณ และทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงบประมาณของฝ่ายบริหาร ตามกลไกของระบบรัฐสภา
โดยมิให้ฝ่ายนิติบัญญัติริเริ่มกำหนดรายจ่ายแผ่นดิน ตามหลักการห้ามฝ่ายนิติบัญญัติริเริ่มงบประมาณ เนื่องจากฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการบริหารประเทศย่อมมีเอกสิทธิ์ กำหนดรายจ่ายของแผ่นดินให้สอดคล้องกับการบริหารประเทศและเหมาะสมที่สุดในการจัดทำงบประมาณ
@ เปิดเจตนารมณ์ รธน.60 ม.144
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสอง มีเจตนารมณ์ ป้องกันมิให้ สส. หรือ สว. หรือกรรมาธิการ เสนอ แปรญัตติ หรือกระทำ ด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ผู้นั้นมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นบทบัญญัติที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 180 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 168
เนื่องจากภายหลังปี พ.ศ. 2511 การแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้มีเจตนามุ่งที่จะแปรญัตติเพื่อนำเงินงบประมาณไปอยู่ในอำนาจการใช้จ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาเริ่มมีแนวคิดที่จะให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวงเงินที่จะนำไปใช้จ่าย โดยให้เหตุผลว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพบเห็นปัญหาของประชาชนโดยตรงก็ดี มีราษฎรมาร้องเรียนเพื่อให้แก้ไขปัญหาให้ก็ดี จึงเริ่มมีการแปรญัตติเพื่อกันเงินส่วนหนึ่งไว้ให้อยู่ในอำนาจที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถนำไปใช้จ่ายทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาของราษฎรได้โดยตรง ซึ่งมีแนวโน้มที่จำนวนเงินดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นทุกปี และเกิดการทุจริตอันเนื่องมาจากการจัดทำโครงการดังกล่าวมากขึ้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 180 วรรคหกและวรรคเจ็ด จึงบัญญัติให้การกระทำฝ่าฝืนดังกล่าวสิ้นผลไป
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นอันต้องห้ามแล้ว รูปแบบการแปรญัตติเพื่อให้ สส. มีอำนาจใช้จ่ายเงินงบประมาณยังคงเกิดขึ้นตลอดมาและมีจำนวนสูงขึ้น พฤติกรรมแห่งการกระทำส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการดำเนินการร่วมกันหลายฝ่ายอย่างครบวงจร โดยร่วมกันทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่ประจำ ประกอบกับรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้บัญญัติสภาพบังคับแก่ผู้กระทำการฝ่าฝืน ไว้ชัดเจน เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสาม จึงกำหนดโทษในกรณีที่ สส. สว. หรือกรรมาธิการ มีการกระทำ ที่มีส่วนได้เสียในการใช้จ่ายงบประมาณ ในกรณีผู้กระทำการดังกล่าวเป็น สส.ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้รับเลือกตั้งเป็น สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง สังกัดพรรคเพื่อไทย จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งเขตที่ 7 ประกอบด้วยพื้นที่อำเภอแม่จัน (เฉพาะตำบลจันจว้า และตำบลจันจว้าใต้) อำเภอเชียงแสน อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงของ (เฉพาะตำบลครึ่ง ตำบลศรีดอนชัย ตำบลริมโขง ตำบลเวียง ตำบลสถาน และตำบลห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือก สส.ให้เป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งผู้ถูกร้อง เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง
ต่อมาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง และเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งผู้ถูกร้องเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง
ก่อนการเสนอร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องขณะดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง มีดำริให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการสนับสนุน และส่งเสริมประชาชนที่ร้องข้อร้องเรียนผ่านการพิจารณาของประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 4 โครงการ โดยมอบหมายให้ นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะทำงานทางการเมืองของผู้ถูกร้องดำเนินการ (เอกสารหมาย ศ 1/1)
ต่อมาสำนักกฎหมายมีความเห็นตามที่สำนักนโยบายและแผนมีหนังสือหารือ ปรากฏว่าการจัดทำ โครงการดังกล่าวมีวิธีการดำเนินการในรูปแบบการให้ทุนและเงินช่วยเหลือ น่าจะขัดต่อกฎหมาย ทั้งสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 (เอกสารหมาย ศ 2/11) เจ้าหน้าที่ปรับเปลี่ยนโครงการดังกล่าวให้เหลือเพียง จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี รวมวงเงินงบประมาณของโครงการทั้งสามตามคำขอทั้งสิ้น จำนวน 350,000,000 บาท และได้รับจัดสรรในภายหลัง จำนวน 178,125,000 บาท (เอกสารหมาย ศ 6n/6s ศ 3/27 และ ศ 3/40 และเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 16)
โครงการทั้งสามมีลักษณะการจัดกิจกรรมเป็นการฝึกอบรมและฝึกอาชีพ ผู้ถูกร้องลงนามเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร การดำเนินการโครงการทั้งสามมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการ โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการจัดโครงการ กำกับดูแล และพิจารณาคำขอให้มีการจัดสัมมนาที่มาจากแต่ละพื้นที่ ซึ่งโครงการทั้งสามจัดกิจกรรมสัมมนาขึ้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดอื่น ๆ ทั้งนี้ มีการจัดกิจกรรมโครงการสตรี ณ จังหวัดเชียงราย จำนวน 8 รุ่น (เอกสารหมาย ศ 9/1)
@ ตัดถ้อยคำ สัมมนา-อบรม ออก
ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ผู้ถูกร้องเห็นชอบให้เจ้าหน้าที่ กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดทำคำขอ ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของโครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี เพื่อเสนอของบประมาณ (เอกสารหมาย ศ 20/1)
ต่อมามีการแก้ไขรายละเอียดคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของโครงการทั้งสาม โดยเปลี่ยนชื่อ โครงการให้ตัดถ้อยคำว่า “สัมมนา” หรือ “อบรม” ออก (เอกสารหมาย ศ 18/1 ถึง ศ 18/2 และ ศ.1971 ถึง ศ 17/2) คณะรัฐมนตรีปรับลดวงเงินงบประมาณโครงการทั้งสาม สำนักนโยบายและแผนจึงมีหนังสือแจ้งเวียนหน่วยงานภายในเพื่อให้เสนอคำขอแปรญัตติ กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง มีหนังสือถึงผู้ถูกร้องสอบถามว่า จะเสนอคำแปรญัตติดังกล่าวหรือไม่ ผู้ถูกร้องลงนาม ในหนังสือดังกล่าวโดยปรากฏข้อความว่า “ให้เสนอคำแปรญัตติ” ตามบันทึกข้อความ ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 (เอกสารหมาย ศ 7/1)
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ผู้ร้องเสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ในคดีนี้ และเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 สำนักนโยบายและแผนได้มีหนังสือถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ต้องการจะเสนอคำขอแปรญัตติรวมถึงกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ด้วยว่าการเสนอคำขอแปรญัตติจะต้องไม่กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ปรากฏข้อความ
ในบันทึกข้อความ ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2568 (เอกสารหมาย ศ 13/1 ถึง ศ 13/2) ซึ่งกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าไม่ประสงค์จะเสนอคำขอแปรญัตติของโครงการทั้งสามดังกล่าว (เอกสารหมาย ศ 14/1 ถึง ศ 14/2) สำนักนโยบายและแผนมีหนังสือถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารราชการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3/2568 มีหน่วยงานขอยกเลิกคำขอแปรญัตติ เพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 10 รายการ รวมถึงโครงการทั้งสามด้วย
ปรากฏข้อความในบันทึกข้อความ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 (เอกสารหมาย ศ 15/6 และ ศ 16/26) วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของโครงการทั้งสาม ปรากฏตามวาระการประชุมคณะกรรมาธิการฯวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 (เอกสารหมาย ศ 17/3 ถึง ศ 17/4) ซึ่งคู่กรณีและพยานเบิกความ สอดคล้องต้องกันว่า เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอขอถอนโครงการทั้งสามออกจากคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 คณะกรรมาธิการ ฯ มีมติให้ปรับลดงบประมาณทั้งหมดของโครงการทั้งสามถือว่าเป็นการยกเลิกคำของบประมาณโครงการทั้งสามออกจาก ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569

@ เลขาฯสภาฯ ขอถอนโครงการ ไม่เป็นผล
ข้อพิจารณาเบื้องต้นมีว่า กรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอถอนโครงการออกจาก งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งจำหน่ายคดี เพราะไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีต่อไป หรือไม่
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอถอนโครงการทั้งสาม และเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรขอปรับลดงบประมาณของโครงการทั้งสามเหลือศูนย์บาท มีผลเป็นการยกเลิก โครงการทั้งสามออกจากคำขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
แม้ว่าโครงการทั้งสามอันเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้สิ้นผลไปแล้ว แต่ไม่มีผลทำให้การกระทำของผู้ถูกร้อง อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วถูกลบล้างไป และไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่
ประกอบกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม นอกจากบัญญัติให้การกระทำ ที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง เป็นอันสิ้นผลแล้ว ยังบัญญัติมาตรการลงโทษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้กระทำการดังกล่าวให้สิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยและให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพิ่มเติมจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 180 วรรคเจ็ด และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 168 วรรคเจ็ด ที่บัญญัติให้เฉพาะการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลเท่านั้น กรณีจึงมีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป
อ่านข่าวประกอบ :
-
ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี(1)
-
ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี (จบ)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา