
"...มีผู้ยื่นคำขออนุญาต ที่ถูกเรียกเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทน จำนวนนับสิบราย อัตราการเรียกเก็บเงิน ถ้าเป็นข้าราชการอยู่ที่ 5,000 บาท / กระบอก ประชาชนทั่วไป 8,000 บาท / กระบอก บางรายเป็นนักกีฬา โดยเรียกเก็บเงินสูงถึง 13,000 บาท เพื่อแลกกับใบอนุญาตอาวุธปืนสั้น -ปืนยาว อย่างละกระบอก ส่วนสาเหตุที่เรื่องนี้แดงออกมาเป็นเพราะมีผู้ยื่นคำขออนุญาต 3-4 ราย ไม่พอใจ จึงนำเรื่องมาร้องเรียน..."
นายอดุลย์ หมีดเส็น จำเลยที่ 1 , นายมังโซ หะยีอาแว จำเลยที่ 2 และ น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข จำเลยที่ 3 มีความผิดตามกฏหมาย ลงโทษจำคุก นายอดุลย์ หมีดเส็น จำเลยที่ 1 นายมังโซ หะยีอาแว จำเลยที่ 2 กระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวม 4 กระทง จำคุกคนละ 12 ปี 36 เดือน
ส่วน น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ลงโทษกระทงละ 1 ปี 8 เดือน และปรับกระทงละ 50,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 32 เดือน และปรับ 200,000 บาท ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอลงอาญา 2 ปี คุมความประพฤติ ทำกิจกรรมบริการสังคม ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามกฎหมาย หากต้องกักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี
คือ บทสรุปคำพิพากษา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่พิพากษาตัดสินคดีกล่าวหา นายอดุลย์ หมีดเส็น เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี กับพวก 2 ราย คือ นายมังโซ หะยีอาแว อดีตปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองปัตตานี ผู้รับผิดชอบงานอาวุธปืน น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข สมาชิกอาสารักษาดินแดน (อส.) กองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.เมืองปัตตานี ที่ 2 เรียกรับเงินเป็นค่าตอบแทนในการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนแบบ ป.3 จากผู้ยื่นคำขออนุญาต ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 , 157 ประกอบ มาตรา 90 และ 91 พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 172 , 173 ประกอบ มาตรา 90, 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับคดีนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดปัตตานี เคยแถลงผลการชี้มูลความผิด นายอดุลย์ หมีดเส็น นายมังโซ หะยีอาแว และ น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข เป็นทางการไปแล้ว ระบุว่า จำเลยทั้ง 3 ราย ร่วมกันทุจริต เรียก และรับเงินเป็นค่าตอบแทนในการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน แบบ ป.3 จากผู้ยื่นคำขออนุญาต เมื่อปี พ.ศ. 2562
@ พฤติการณ์การกระทำความผิด
จุดเริ่มต้นคดี เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2562 นายอดุลย์ หมีดเส็น เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองปัตตานี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองปัตตานี เป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการบริหารงานราชการอำเภอ และเป็นผู้บังคับบัญชากองร้อยกองอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองปัตตานี ที่ 2 และเป็นนายทะเบียนท้องที่ในเขตอำเภอเมืองปัตตานี ในการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนแบบ ป.3 ตาม พรบ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ได้ร่วมกับนายมังโซ หะยีอาแว ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ตำแหน่งปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบงานอาวุธปืน และน.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข สมาชิกอาสารักษาดินแดน (อส.) กองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.เมืองปัตตานี ที่ 2 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ตำแหน่งอาสารักษาดินแดน ผู้ช่วยปฏิบัติงานอาวุธปืน ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
ได้แบ่งหน้าที่กันทำ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต เรียกและรับเงินจาก ผู้ยื่นคำขออนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนแบบ ป.3 จำนวนหลายราย โดยชักจูงใจผู้ยื่นคำขออนุญาตให้นำเงินมามอบให้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนในการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน แบบ ป.3 ทำให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้ยื่นคำขออนุญาต กรมการปกครอง และทางราชการ
@ ขรก. ขอ 5 พัน / ปชช. 8 พัน ต่อกระบอก
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลเชิงลึกว่า มีผู้ยื่นคำขออนุญาต ที่ถูกเรียกเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทน จำนวนนับสิบราย อัตราการเรียกเก็บเงิน ถ้าเป็นข้าราชการอยู่ที่ 5,000 บาท / กระบอก ประชาชนทั่วไป 8,000 บาท / กระบอก
บางรายเป็นนักกีฬา โดยเรียกเก็บเงินสูงถึง 13,000 บาท เพื่อแลกกับใบอนุญาตอาวุธปืนสั้น -ปืนยาว อย่างละกระบอก
ส่วนสาเหตุที่เรื่องนี้แดงออกมาเป็นเพราะมีผู้ยื่นคำขออนุญาต 3-4 ราย ไม่พอใจ จึงนำเรื่องมาร้องเรียน ขณะที่ผู้ยื่นคำขออนุญาตที่ถูกเรียกเก็บเงินด้วย ไม่ได้ออกมาร้องเรียน เพราะมองว่าเป็นเรื่องสมประโยชน์กัน
สำหรับหลักฐานสำคัญที่ใช้มัดตัวผู้ถูกกล่าวหาคดี คือ การส่งสลิปโอนเงินผ่านเข้าไปในไลน์ ของผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่ง ที่ผู้ถูกร้องเรียน บันทึกภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้น ผู้ถูกกล่าวหาบางราย ให้การยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาทุจริต เพราะการเรียกเก็บเงินดังกล่าว ถูกนำไปใช้ในการทำกิจกรรมของหน่วยงาน เช่นการซื้อของรางวัล แจกให้กับประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงานเท่านั้น
แต่จากการตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. พบว่า เงินที่นำไปใช้ในการซื้อของรางวัล มีแค่บางส่วนเท่านั้น ขณะที่เงินอีกจำนวนหนึ่งถูกถอนออกไปด้วย
ที่น่าสนใจคือ จุดที่ใช้ในการถอนเงินดังกล่าวออกไป คือ ตู้เอทีเอ็ม ที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ทำการอำเภอเมือง นั้นเอง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นชอบให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายอดุลย์ หมีดเส็นนายมังโซ หะยีอาแว และนางสาวศรัญยา บริบูรณ์สุข ตามฐานความผิดดังกล่าวตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.91 (1) (2) และ ม.98 ต่อไป
@ รายละเอียดคำพิพากษา
สำหรับรายละเอียดคำพิพากษา ระบุดังนี้
1. นายอดุลย์ หมีดเส็น จำเลยที่ 1 , นายมังโซ หะยีอาแว จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ปอ.ม. 149 และ พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 ม.173 ประกอบ ป.อ.ม.83 และน.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข จำเลยที่ 3 มีความผิดตามป.อ.ม.149 และพ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 ม.173 ประกอบ ป.อ. ม.86 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามป.อ.ม.91
2. นายอดุลย์ หมีดเส็น จำเลยที่ 1 , นายมังโซ หะยีอาแว จำเลยที่ 2 ฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.ม.90
จำคุกคนละกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทง
ส่วนน.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข จำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานหรือเจ้าพนักงานของรัฐ ร่วมกันเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่หรือไม่แต่เพียงบทเดียว ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามป.อ.ม.90
จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน และปรับกระทงละ 100,000 บาท รวม 4 กระทง
3. ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างและจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามป.อ.ม.98 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละกระทงละหนึ่งในสี่และลดโทษให้จำเลยที่ 3 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละกระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 12 ปี 36 เดือน
คงจำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 1 ปี 8 เดือน และปรับกระทงละ 50,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 32 เดือน และปรับ 200,000 บาท
ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยที่ 3 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยที่ 3 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามป.อ.ม.56 หากจำเลยที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามป.อ.ม.29,30 หากต้องกักขังจำเลยที่ 3 แทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมลงมติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ไม่เห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษา
ขณะที่ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า นายอดุลย์ หมีดเส็น จำเลยที่ 1 , นายมังโซ หะยีอาแว จำเลยที่ 2 มีการยืนอุทธรณ์ต่อสู้คดีหรือไม่
แต่ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายผลการต่อสู้คดีนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร คดีนี้นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่รัฐทั่วประเทศ ไม่ให้กระทำผิดซ้ำรอย เอาเป็นเยี่ยงอย่างทั้งในปัจจุบัน และอนาคต สืบไป
อันเป็นผลสืบเนื่องจากวิบากกรรมการทุจริตที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด เหมือนหลายคดีที่ผ่านมา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา