“…ในงานนี้ สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระดำรัสว่า เพื่อจะประกาศให้โลกรับรู้ว่า บริเวณที่ดินที่ได้เวนกันมานี้เป็น “พุทธเขต” ให้พ้นจากการเบียดเบียนของผู้ไม่รู้ ขาดความยั้งคิดจะเป็นบาปหนัก และเพื่อจะให้เกิดความบริสุทธิ์ในบริเวณที่ดินนี้ สมชื่อว่า "พุทธมณฑล"…”
.......................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 133/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 536/2568 ระหว่าง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมธนารักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีกรมธนารักษ์จะนำที่ดินแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ แต่มหาเถรสมาคม ไม่เห็นด้วย พศ. จึงฟ้องคดีต่อศาลฯ
โดยศาลฯพิพากษาห้ามมิให้กรมธนารักษ์ นำที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ เนื่องจากที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนาอันเป็นศาสนสมบัติกลาง มิใช่ที่ราชพัสดุตามกฎหมายที่ราชพัสดุ นั้น (อ่านประกอบ : เป็นศาสนสมบัติกลาง! 'ศาลปค.'สั่งห้าม'ธนารักษ์'นำที่ดิน'พุทธมณฑล'ขึ้นทะเบียน'ที่ราชพัสดุ')
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอเสนอคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางในคดีนี้ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@‘พศ.’มีอำนาจฟ้องคดี ชี้เป็นข้อพิพาทหน่วยงาน
ศาลได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับประกอบแล้ว
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) โดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม ได้มีหนังสือ ที่ กค 0318.18/617 ลงวันที่ 18 ส.ค.2563 ให้ผู้ฟ้องคดี (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ.) สำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้างนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ และบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ราชพัสดุ
และหนังสือที่ กค 0318.18/402 ลงวันที่ 5 มี.ค.2564 แจ้งว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2462 ให้ผู้ฟ้องคดี (พศ.) สำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามแบบรายการส่ง-รับที่ราชพัสดุทะเบียน (แบบ ทร 03,04) จัดส่งให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมเพื่อดำเนินการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า ศาลมีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจศาลและเงื่อนใช้ในการฟ้องคดี ตามข้อต่อสู้ของผู้ถูกฟ้องคดี หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า... การพิจารณาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ เป็นกรณีที่ต้องพิจารณาถึงความเป็นมาของที่ดินว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ว่า ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ราชพัสดุ ตามที่ พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 กำหนดไว้หรือไม่
อันเป็นการตีความเพื่อนำไปสู่ประเด็นหลักแห่งคดีว่า การใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) ในฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการปกครองดูแลและบำรุงที่ราชพัสดุ รวมถึงการขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาตรวจสอบ
กรณีจึงเป็นเรื่องการโต้แย้งในเรื่องของการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดี มิใช่เป็นเรื่องสิทธิในที่ดินที่จะต้องพิจารณาเรื่องกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เมื่อผู้ฟ้องคดี (พศ.) ฟ้องโต้แย้งการใช้อำนาจทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) ตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ในการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดี จึงชอบที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาล เพื่อให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองดังกล่าวได้
คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
เมื่อผู้ฟ้องคดี (พศ.) ได้มีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) เพื่อให้ระงับการขึ้นทะเบียนที่ดินแปลงพุทธมณฑลเป็นที่ราชพัสดุ แต่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดี มิได้ดำเนินการะงับการขึ้นทะเบียนที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อันเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี
และการที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีระงับการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลเป็นที่ราชพัสดุ เป็นคำขอที่ศาลมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้ได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองตามมาตรา 42วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
และการฟ้องคดีนี้เป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับ ที่จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อนการฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ โดยไม่ต้องดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อนการฟ้องคดี ตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่อาจรับฟังได้
@‘กฤษฎีกา’วินิจฉัย‘ธนารักษ์’มีอำนาจขึ้นทะเบียน‘พุทธมณฑล’
กรณีมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า ที่ดินพุทธมณฑลมีสถานะเป็นที่ดินประเภทใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ... คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมได้มีหนังสือ ที่ กค 0318.18/617 ลงวันที่ 18 ส.ค.2563 ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑลแจ้งว่า ได้มอบหมายให้นายช่างสำรวจอาวุโสเป็นผู้ทำการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุและการนำส่งรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแปลงพุทธมณฑล โดยขอให้มอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่
และได้มีหนังสือ ที่ กค 098.18/402 ลงวันที่ 5 มี.ค.2564 เพื่อขอให้สำนักงานพุทธมณฑลสำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามแบบรายการส่ง-รับที่ราชพัสดุ ขึ้นทะเบียน (แบบ ทร 03,04) จัดส่งให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมเพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป
ต่อมา ผู้ฟ้องคดี (พศ.) ได้มีหนังสือ ที่ พศ 0001/8887 ลงวันที่ 8 ต.ค.2564 แจ้งผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) ว่า มหาเถรสมาคม ได้มีมติที่ 621/2564 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2564 สรุปว่า ที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนสมบัติกลาง จึงให้ผู้ถูกฟ้องคดีระงับการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุแปลงที่ดินพุทธมณฑล
ภายหลัง ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค 0307/17492 ลงวันที่ 11 พ.ศ.2564 แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า สถานะของที่ดินแปลงพุทธมณฑลเป็นที่ยุติแล้วว่า เป็นที่ราชพัสดุ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) เรื่องเสร็จที่ 329/2563 ผูกพันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องถือปฏิบัติตาม
ผู้ถูกฟ้องคดี จึงชอบด้วยหน้าที่และอำนาจตามมาตรา 8 ประกอบมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ที่จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ และเข้าปกครอง ดูแลที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 329/2563 เรื่อง สถานะที่ดินพุทธมณฑล ว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พศ 0001/12406 ลงวันที่ 5 ก.ย.2562 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีภารกิจหน้าที่ในการส่งเสริม ดูแล รักษา จัดการศาสนสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2557
โดยในส่วนความเป็นมาของพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ นั้น มีที่มาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2495 ซึ่งมีมติโดยสรุปว่า “ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำโครงการสมโภชปีพุทธศักราช 2500 เสนอ ส่วนการจะตั้งผู้ใดเป็นกรรมการและมีหน้าที่ดำเนินการอย่างใดนั้น ให้ติดต่อทำความตกลงกับท่านรองนายกรัฐมนตรี (จอมพล ผิน ชุณหะวัณ)”
ในขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ได้จัดทำโครงการเฉลิมฉลอง25 พุทธศตวรรษขึ้น ให้เป็นงานใหญ่ และให้สร้างพุทธมณฑลขึ้นเป็นพุทธานุสรณียสถานแห่งการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เพื่อเป็นสถานที่อำนวยประโยชน์แก่พุทธบริษัทตามแนวทางพุทธบัญญัติ
สำหรับการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ นั้น ที่ดินแปลงใหญ่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงรับซื้อไว้แล้วและทรงพระราชอุทิศถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา ส่วนที่เหลือได้จากการซื้อที่ดินของเอกชน งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อ มีที่มาจากทั้งงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคของประชาชน
ต่อมา พลโท ประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการจัดสร้างพุทธมณฑลในขณะนั้น ได้เสนอเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณาว่า ที่ดินพุทธมณฑลที่ดำเนินการจัดซื้อเพื่อสร้างพุทธมณฑลให้เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศาสนา โดยไม่ประสงค์จะให้เป็นวัด เงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อที่ดินเป็นเงินงบประมาณบ้าง เงินเรี่ยไรบ้าง
ถ้าเป็นวัด ชื่อในโฉนดที่ดินควรเป็นชื่อ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ถ้าเป็นเงินงบประมาณควรเป็นชื่อกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จึงไม่ทราบว่ารัฐบาลมีความประสงค์ที่จะให้ใช้ชื่อกรมหรือกระทรวงใดในสองกรมที่กล่าวนี้ หรือกรมในกระทรวงอื่นลงชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินสร้างพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2502 ให้ใส่ชื่อกรมการศาสนาลงในโฉนดที่ดินพุทธมณฑล
จากนั้น กรมการศาสนา จึงได้มีชื่อในโฉนดที่ดินพุทธมณฑลเรื่อยมา เมื่อมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว พุทธมณฑลจึงได้มาอยู่ในความดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 พ.ศ.2545
คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 7 ได้พิจารณาประกอบคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดี (พศ.) ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) และผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว มีความเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาในการจัดสร้างพุทธมณฑลในทำนองเดียวกันกับข้อเท็จจริงตามหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พศ 0001/12406 ลงวันที่ 5 ก.ย.2562 ของผู้ฟ้องคดี (พศ.)
และมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ดินพุทธมณฑล ประกอบด้วย ที่ดินจำนวน 95 แปลง มีที่มาจาก
(1) ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เนื้อที่ประมาณ 135 ไร่ ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้แบ่งขายให้แก่กรมการศาสนา
(2) ที่ดินที่ได้จากการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และ พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี และตำบลบางกระทึก อำเภอสามพรามพราน จังหวัดนครปฐม พ.ศ.2509 เพื่อให้รัฐบาลนำไปดำเนินการจัดสร้างพุทธมณฑล
(3) ที่ดินที่ดินที่จัดซื้อจากการรวบรวมเงินงบประมาณ เงินบริจาคของประชาชนและข้าราชการ รายได้จากการจำหน่ายพระเครื่อง พระพุทธรูป แสตมป์ ปฏิทินและเสมาที่ระลึก โดยเป็นการร่วมแรงร่วมใจในการจัดสร้างพุทธมณฑลตามนโยบายของรัฐบาล
และ (4) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โดยมีคลองจำนวน 1 คลอง ชื่อ “คลองนา” เชื่อมพื้นที่ภายในและภายนอกพุทธมณฑลโดยประตูน้ำ เพื่อรับน้ำจากแม่น้ำท่าจีนอยู่บริเวณทิศตะวันตกของพุทธมณฑล
@ยกหลักฐาน‘ประวัติศาสตร์’ย้อนที่มาซื้อที่ดิน‘พุทธมณฑล’
อย่างไรก็ดี เมื่อได้พิจารณาเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบคำคัดค้าน คำให้การของผู้ฟ้องคดี (พศ.) ซึ่งคู่กรณีอีกฝ่ายไม่มีการโต้แย้งแต่อย่างใด สรุปได้ว่า
ในรัฐพิธีก่อฤกษ์พุทธมณฑล คณะกรรมการจัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ได้กำหนดรัฐพิธีก่อฤกษ์พุทธมณฑลขึ้นในวันที่ 29 ก.ค.2498 และได้กราบบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงก่อฤกษ์พุทธมณฑล ณ ตำแหน่งที่กำหนดเป็นฐานของพระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กราบบังคมทูลถวายรายงานการก่อสร้างพุทธมณฑล ถึงความดำริในการสร้างพุทธมณฑล เนื่องด้วยรัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า ในโอกาสที่พระบวรพุทธศาสนาได้ดำรงคงอยู่เป็นปึกแผ่นมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ และจะครบรอบศตวรรษที่ 25 ในปี พ.ศ.2500 ที่จะถึงนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญยิ่ง ซึ่งประชาชนชาวไทยอันยึดมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนายุคนี้ จะได้ถือเป็นศุภนิมิตรมงคลกาล
จัดให้มีงานมหกรรมฉลองเป็นการใหญ่ทั่วพระราชอาณาจักร เพื่อเป็นการยืนยันถึงเจตจำนงของรัฐบาลและประชาชน ในอันที่จะยึดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติต่อไป จึงได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาวางโครงการจัดงานฉลอง 25 ศตวรรษ แห่งพระพุทธศาสนาขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2497
และได้พิจารณาถึงการจัดสร้างปูชนียสถานตามมติของคณะรัฐมนตรี ได้เห็นพร้อมกันว่า ควรที่จะได้สร้างปูชนียสถานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งใหญ่ยิงมโหฬารไว้เป็นสมบัติของชาติ เพื่อเป็นอนุสรณีย์ทางพระพุทธศาสนา แสดงความพร้อมเพรียงศรัทธาของปวงพุทธศาสนิกชนและพุทธบริษัททั้งหลาย ในยุคศตวรรษที่ 25 นี้
ปูชนียสถานดังกล่าวนี้ คณะกรรมการเห็นควรสร้างเป็นพุทธมณฑลในบริเวณกลางแจ้งท่ามกลางพุทธมณฑล จะสร้างองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานไว้ ทางบริเวณด้านขวาแห่งพุทธมณฑลให้มีรูปแกะสลักและจำหลักเป็นภาพบนแผ่นศิลา หรือหินอ่อน แสดงถึงพุทธประวัติพุทธบัญญัติและพุทธานุศาสน์ต่างๆ
ทางบริเวณด้านซ้าย มีภาพแกะสลัก ทำนองเดียวกัน แสดงถึงประวัติศาสตร์ของชาติไทย ทางบริเวณเบื้องหลังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา ภายในบริเวณจัดทำให้เป็นที่ร่มเย็นดังเช่นมฤคทายวัน สำหรับสัตว์จตุบาททั้งปวงจะได้อาศัยโดยปลอดภัย และจะจัดปลูกต้นไม้ที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาไว้ด้วย
พื้นที่รอบนอกบริเวณพุทธมณฑลจะจัดปรับปรุงให้มีผังเมืองที่เหมาะสม สร้างทางคมนาคมให้สะดวกแก่ผู้จะมานมัสการทุกด้าน จึงได้เสนอหลักการนี้ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2497 เห็นชอบด้วย ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่จะสร้างขึ้นนั้น ให้สร้างเป็นปางลีลา
และเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2497 คณะกรรมการได้เดินทางโดยรถไฟไปดูบริเวณที่จะสร้างพุทธมณฑลที่สถานีศาลายา และได้ร่วมพิจารณาที่ดิน พื้นที่อยู่ทางฝั่งทิศใต้ตรงข้ามสถานีรถไฟ รวมทั้งได้เดินทางต่อไปตามแม่น้ำนครชัยศรี เพื่อดูอาณาเขตด้านหลัง เห็นพร้อมกันว่าควรจัดสร้างพุทธมณฑลในอาณาบริเวณเป็นเนื้อที่ 2,500 ไร่
ด้านหนึ่งใกล้ไปทางถนนเพชรเกษม อีกด้านหนึ่งใกล้ไปทางแม่น้ำนครชัยศรี ทำให้มีทางคมนาคมไปได้ทั้งทางน้ำและทางบก เป็นชัยภูมิที่เหมาะสมและสง่างาม ที่ดินที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่กำหนดจะสร้างพุทธมณฑลนี้ ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน และตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยินดีและพร้อมที่จะทรงรับซื้อถวายเป็นพุทธบูชา
ส่วนที่ดินอันเป็นของเอกชนนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเป็นประธานกรรมการ ดำเนินการจัดซื้อที่ดินในราคาที่ซื้อขายกันอยู่ขณะนี้ การจัดซื้อได้กระทำจวนจะครบถ้วนหมดสิ้นแล้วคงเหลืออยู่เพียงการชำระเงินอีกบางส่วนเท่านั้น
ในการนี้ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ อีกรวม 6 คณะ ดังนี้
1.คณะอนุกรรมการพิจารณาวางผังพุทธมณฑล มีพันเอก หลวงบุรกรรมโกวิท อธิบดีกรมโยธาเทศบาล เป็นประธาน เพื่อจัดวางแผนผังการก่อสร้าง ซึ่งอนุกรรมการคณะนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
2.คณะอนุกรรมการพิจารณาออกแบบองค์พระพุทธรูป พุทธประวัติ พุทธบัญญัติ และพุทธานุศาสน์ มีหลวงวิเชียรแพทยาคม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน สำหรับแบบองค์พระพุทธรูป คณะอนุกรรมการนี้ได้พิจารณาออกแบบพระพุทธรูปปางลีลา โดยมีความสูง 2,500 นิ้ว หรือ 62.5 เมตร เฉพาะองค์พระพุทธรูปจากพระบาทถึงยอดพระเศียร สูง 46 เมตร นอกจากนั้น เป็นส่วนแท่นประดิษฐาน
และได้ทำแบบตัวอย่างเสนอคณะกรรมการฯ คณะรัฐมนตรี คณะสังฆมนตรี และถ่ายรูปเผยแพร่เพื่อฟังความคิดเห็นจากประชาชนซึ่งได้รับข้อคิดเห็นต่างๆ เสนอเพิ่มเติมเป็นอย่างดี
3.คณะอนุกรรมการพิจารณาประวัติศาสตร์ของชาติไทย มีพลเอก มังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้พิจารณาประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่อดีตตอนที่สำคัญๆ จนกระทั่งถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อนำแกะสลักเป็นภาพติดทางด้านซ้ายของพุทธมณฑลนี้
4.คณะอนุกรรมการพิจารณาพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนามี หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน มีหน้าที่พิจารณาจัดหารวบรวมและจำลองสิ่งของที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาทั้งในและนอกประเทศ เพื่อมารวมจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งกลางแจ้งและในร่ม
5.คณะอนุกรรมการรับเงินทุนและสิ่งของสมทบในการสร้างพระพุทธรูป และพุทธมณฑล มี พระยารามราชภักดี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน มีหน้าที่ดำเนินการจัดหาเงินทุนและสิ่งของสมทบในการก่อสร้างพระพุทธรูป และพุทธมณฑลนี้
นับแต่เริ่มดำเนินการมา ได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินในเขตพุทธมณฑลนี้ถวายเป็นพุทธบูชา และร่วมสมทบในการสร้างพระพุทธรูปและพุทธมณฑลแล้ว เป็นเงิน 2,764,256.82 บาท ทั้งยังปรากฏว่ารัฐบาลพม่าและชาวพม่าได้มีศรัทธาในการนี้ด้วย
เมื่อคราวที่ ฯพณฯ อูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า เดินทางมาเยี่ยมประเทศไทยเมื่อเดือน มี.ค.2498 ได้มอบเงินให้จำนวน 50,000 จาด คิดเป็นเงินไทยขณะนั้น 211,693.94 บาท และยังได้แสดงความศรัทธาที่จะร่วมมือต่อไปอีกด้วย
6.คณะอนุกรรมการจัดสร้างพระเครื่อง มี พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นประธาน มีหน้าที่จัดสร้างพระเครื่องปางลีลาด้วยผงและโลหะสำหรับให้เช่าและสมนาคุณแก่ผู้บริจาคสมทบทุน โดยจะได้เริ่มลงมือจัดสร้างในเร็ววันนี้
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค.2499 ความว่า ตามที่รัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยและในปีพุทธศักราช 2500 เป็นปีที่ 25 แห่งพุทธศตวรรษ ทางราชการจะได้จัดทำพิธีฉลองอย่างมโหฬารให้สมกับเป็นศาสนาประจำชาติ และจะได้จัดสร้างพุทธมณฑลขึ้นเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา และเป็นอนุสรณ์ของปีที่ 25 แห่งพุทธศตวรรษ
ฉะนั้น เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศลโดยบริจาคเงินคราวละเล็กคราวละน้อย โดยไม่กระทบกระเทือนต่อภาวะการครองชีพ จึงได้จัดทำแสตมป์ 25 พุทธศตวรรษขึ้น มีราคาดวงละ 5 สตางค์ และกำหนดให้แสตมป์นี้ที่บุหรี่ทุกซองและทุกกระป๋องตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2499 เป็นต้นไป เงินที่ได้จากการบริจาคของท่านผู้สูบบุหรี่นี้ จะได้นำไปใช้ในการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ก่อสร้างพระพุทธรูปและสร้างพุทธมณฑล
ภายหลัง ประธานกรรมการมูลนิธิภูมิพโลภิกขุได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ให้ทรงเป็นประธานในการดำเนินงานจัดสร้างพุทธมณฑล และเมื่อวันที่ 17 มี.ค.2518 ซึ่งเป็นวันจัดงานประกาศเขตพุทธมณฑล
ในงานนี้ สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงมีพระดำรัสว่า เพื่อจะประกาศให้โลกรับรู้ว่า บริเวณที่ดินที่ได้เวนกันมานี้เป็น “พุทธเขต” ให้พ้นจากการเบียดเบียนของผู้ไม่รู้ ขาดความยั้งคิดจะเป็นบาปหนัก และเพื่อจะให้เกิดความบริสุทธิ์ในบริเวณที่ดินนี้ สมชื่อว่า "พุทธมณฑล"
คณะกรรมการจึงกำหนดให้มีพิธีทางศาสนาขึ้น ชื่อว่า พิธีสงฆ์ประกาศเขตพุทธมณฑล พุทธศักราช 2518 อาตมภาพได้กำหนด วันที่ 7 เม.ย.2518 เป็นวันเริ่มพิธี และสิ้นสุดพิธีในวันที่ 13 เม.ย.2518 ส่วนวันที่ 14 และวันที่ 15 เม.ย.2518 เป็นวันสมโภช
สำหรับการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างพุทธมณฑล นอกจากที่ดินแปลงใหญ่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลออดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงรับซื้อไว้และทรงพระราชอุทิศถวายให้เป็นพุทธบูชาแล้ว
การจัดซื้อที่ดินจากเอกชนเจ้าของที่ดินอีก 95 ราย นั้น รัฐบาลมีเจตนารมณ์ให้เป็นความศรัทธาของประชาชนยิ่งกว่าการบังคับซื้อ จึงให้ใช้วิธีการตกลงราคาขอซื้อจากเจ้าของที่ดิน คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินได้ปฏิบัติงานจนถึงเดือน พ.ค. 2500 ปรากฏว่าเจ้าของที่ดินบริเวณพุทธมณฑลได้ยินยอมขายที่ดินให้จำนวน 89 ราย เป็นเนื้อที่ 1,787 ไร่ 2 งาน 13 ตารางวา ยังจะต้องซื้อที่ดินต่อไปอีก 712 ไร่ 1 งาน 87 ตารางวา
เจ้าของที่ดินซึ่งได้ไปติดต่อขอชื่อแล้ว แต่ยังไม่ยอมขายให้อีก 5 ราย เป็นเนื้อที่ 294 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา ได้จ่ายเงินค่าที่ดินให้เจ้าของที่ดินไปแล้ว รายละร้อยละ 75 เมื่อรังวัดแบ่งแยกทำการโอนโฉนดูเรียบร้อย จึงจะจ่ายให้อีกร้อยละ 25 ได้จ่ายเงินค่าซื้อที่ดินไปแล้วเป็นเงิน 2,536,987.76 บาท ยังค้างอยู่อีก 144,314.99 บาท รวมจะต้องใช้เงินเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดิน ทั้งชดใช้ค่ารื้อถอนทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ 1,300,000 บาท
สำหรับเงินที่จะต้องจ่ายให้เจ้าของที่ดินซึ่งยังค้างชำระอยู่นั้น เมื่อชำระเสร็จเรียบร้อยจึงจะทำการโอนหน้าโฉนดต่อไป
@‘พุทธมณฑล’ 2,500 ไร่ เป็นทรัพย์สิน‘พระศาสนา’
เมื่อได้พิจารณาดังนี้แล้ว กรณีจึงรับฟังความเป็นมาแห่งการจัดสร้างพุทธมณฑลได้ว่าพุทธมณฑลสร้างขึ้นตามเจตนารมณ์เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเฉลิมฉลองงาน 25 พุทธศตวรรษ โดยพิจารณาได้จากปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในพุทธมณฑลล้วนแต่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นอันมีพระศรีศากยะทศพลญาณ เป็นพระพุทธรูปประธานประดิษฐานตรงกลาง
ส่วนพุทธาวาส ประกอบด้วย สังเวชนียสถาน 4 ตำบล วิหารพุทธมณฑล และศาลาราย ส่วนสังฆาวาสประกอบด้วย ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ที่พักสงฆ์อาคันตุกะ และส่วนฆราวาส ประกอบด้วย หอประชุม หอกลอง สำนักงานพุทธมณฑล อาคารประชาสัมพันธ์และพุทธอุทยาน เป็นต้น
โดยในการจัดหาที่ดินนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับซื้อที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 135 ไร่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งยังปรากฏว่านับแต่เริ่มดำเนินการ ได้มีประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินในเขตพุทธมณฑลนี้ถวายเป็นพุทธบูชา และร่วมสมทบในการสร้างพระพุทธรูปและพุทธมณฑลแล้ว เป็นเงินจำนวน 2,764,256.82 บาท
รวมถึง ฯพณฯ อูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า เดินทางมาเยี่ยมประเทศไทยเมื่อเดือน มี.ค.2498 ได้มอบเงินให้จำนวน 50,000 จาด คิดเป็นเงินไทยขณะนั้น 211,693.94 บาท
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายพระเครื่อง พระพุทธรูป แสตมป์ ปฏิทินและเสมาที่ระลึก โดยเป็นการร่วมแรงร่วมใจในการจัดสร้างพุทธมณฑลตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย จนกระทั่งสามารถรวบรวมที่ดินได้จำนวน 2,205 ไร่ 96 ตารางวา ที่ดินที่ได้มาดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีผู้ถวายให้แก่พระศาสนา
แต่ปรากฏว่ายังขาดอีก จำนวน 294 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา จึงจะครบ 2,500 ไร่ ตามที่กำหนดไว้ ภายหลังรัฐบาลจึงได้มีการเวนคืนที่ดินจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และ พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี และตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พ.ศ.2509
แต่ก็เพื่อให้การดำเนินการจัดสร้างพุทธมณฑลสำเร็จลุล่วงตามเจตนารมณ์เท่านั้น หาได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำที่ที่ดินไปใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือเพื่อประโยชน์ของทางราชการตามกฎหมายแต่อย่างใด
กรณีจึงต้องถือว่า เจตนารมณ์ทั้งของสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และประชาชนชาวไทย ในการจัดซื้อและจัดหาที่ดินเนื้อที่รวม 2,500 ไร่ จัดสร้างพุทธมณฑล ก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอุทิศให้พระพุทธศาสนา ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า คณะกรรมการจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพุทธมณฑล ได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินส่วนหนึ่งแล้ว ในระหว่างนั้นได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่า จะให้ใส่ชื่อกรมการศาสนา หรือชื่อของผู้ถูกฟ้องคดี เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพุทธมณฑล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2502 ให้ใส่ชื่อกรมการศาสนาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแปลงพุทธมณฑล
และต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งให้ผู้ฟ้องคดี (พศ.) มีอำนาจเกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพัฒนาพระพุทธศาสนาและดูแลรักษาศาสนสมบัติ ตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ ตามมาตรา 46 (3) แห่ง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545
โดยพระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 พ.ศ.2545 ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มาตรา 42 ได้บัญญัติว่า ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ให้แก้ไขคำว่า... “กรมการศาสนา” เป็น “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ”...ที่ดินพุทธมณฑล จึงได้โอนมาอยู่ในความดูแลของผู้ฟ้องคดีตามกฎหมายดังกล่าว
เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว จึงรับฟังเป็นยุติว่า พุทธมณฑลเป็นพุทธสถานที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา และเมื่อที่ดินดังกล่าวมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง
ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑล จึงเป็นศาสนสมบัติกลางตามมาตรา 46 (1) แห่ง พ.ร.บคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่จัดตั้งพุทธมณฑล และตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ที่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการ
รวมทั้งเป็นเจ้าของ ตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว อันเป็นที่ดินที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติยกเว้นไว้ไม่ให้ถือเป็นที่ราชพัสดุ ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 (3) แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562
@‘ธนารักษ์’ไม่มีอำนาจนำ‘พุทธมณฑล’ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ
กรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาเป็นประการสุดท้ายว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจตามกฎหมายในการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลให้เป็นที่ราชพัสดุ หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ...เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า ที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนาอันเป็นศาสนสมบัติกลาง ที่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการ รวมทั้งเป็นเจ้าของ ตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มิใช่ที่ราชพัสดุตามมาตรา 7 (3) แห่ง พ.ร.บ.ราชพัสดุ พ.ศ.2562
ฉะนั้น ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 17 และมาตรา 18 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบข้อ 6 (16) ของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2546 ให้ผู้ฟ้องคดีทำการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ราชพัสดุแต่อย่างใด
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) โดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม ได้มีหนังสือที่ กค 0318.18/617 ลงวันที่ 18 ส.ค.2563 ให้ผู้ฟ้องคดี (พศ.) สำรวจจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้างนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ราชพัสดุ
และหนังสือ ที่ กค 0318.18/402 ลงวันที่ 5 มี.ค.2564 แจ้งว่า เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ให้ผู้ฟ้องคดี (พศ.) สำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามแบบรายการส่ง-รับที่ราชพัสดุขึ้นทะเบียน (แบบ ทร 03,04) จัดส่งให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมเพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
“พิพากษาห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีนำที่ดินพุทธทรมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก” คำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 133/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 536/2568 ลงวันที่ 19 มี.ค.2568 ระบุ
เหล่านี้เป็นคำพิพากษา ‘ศาลปกครองกลาง’ ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการนำที่ดิน ‘พุทธมณฑล’ เนื้อที่ 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งศาลฯมีคำพิพากษาห้ามไม่ ‘กรมธนารักษ์’ นำที่ดินดังกล่าวไปขึ้นทะเบียน ‘ที่ราชพัสดุ’ เนื่องจากที่ดินพุทธมณฑลเป็น 'ทรัพย์สินของพระศาสนา' อันเป็น ‘ศาสนสมบัติกลาง’
อีกทั้งเป็นการหักล้างคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) ตาม เรื่องเสร็จที่ 329/2563 ที่เห็นว่ากรมธนารักษ์ มีความชอบด้วยหน้าที่และอำนาจตามมาตรา 8 ประกอบมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ที่จะนำที่ดิน ‘พุทธมณฑล’ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ และเข้าปกครองดูแลที่ดินดังกล่าว
และคงต้องติดตามกันต่อไปไปว่า ‘กรมธนารักษ์’ จะยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่?
อ่านประกอบ :
เป็นศาสนสมบัติกลาง! 'ศาลปค.'สั่งห้าม'ธนารักษ์'นำที่ดิน'พุทธมณฑล'ขึ้นทะเบียน'ที่ราชพัสดุ'