“…การช็อปปิ้งยา กรณีนี้ผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล ข้าราชการและครอบครัว จะเบิกค่ารักษาพยาบาลในลักษณะเดินสายขอตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ในช่วงวันเดียวกัน หรือระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมักเดินทางไปพบแพทย์เกินกำหนดนัด เป็นเหตุให้ได้รับยาจำนวนมากยิ่งขึ้น มีการดำเนินการลักษณะเป็นขบวนการ…”
..................................
แม้ว่ากรณีการทุจริต 'เบิกจ่ายยา’ ของ ‘โรงพยาบาลทหารผ่านศึก’ หรือ ‘อผศ.’ โรงพยาบาลรัฐในสังกัด ‘กระทรวงกลาโหม’ ซึ่งมีการแจ้งความกับผู้กระทำผิดไปเมื่อเร็วๆนี้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนฯของตำรวจ เบื้องต้นคาดว่ามีผู้เกี่ยวข้องกว่า 20 คน นั้น จะไม่ใช่เคสแรกที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
แต่ปรากฏว่าพฤติกรรมและรูปแบบการทุจริตเบิกจ่าย ‘ยา’ แทบไม่แตกต่างจากพฤติกรรมในอดีตมากนัก เพียงแต่เป็นคนละ ‘ขบวนการ’ กัน เท่านั้น
โดยแผนประทุษกรรมพบว่า การทุจริตในคดีนี้ ทำเป็น ‘ขบวนการ’ และทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 โดยมีการเกณฑ์แม่บ้านหรือสมาชิกในครอบครัวทหารไม่ต่ำกว่า 700 คน ว่าจ้างให้มาเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ มีการจัดรถตู้รับ-ส่งเดินทางเข้ามาใช้สิทธิรักษาพยาบาล-เบิกยา ได้ค่าจ้างคนละ 1,500 บาท/ครั้ง
มีการจัดเตรียมบทพูดให้ท่องจำ เพื่อพูดอธิบายอาการป่วยกับหมอและขอยาที่มีราคาแพง เมื่อตรวจรักษาเสร็จและได้รับยามาแล้ว บุคคลเหล่านี้จะส่งมอบยาให้ขบวนการทุจริตยา แล้วนำไปโพสต์ขายผ่านทางออนไลน์ สร้างรายได้วันละหลายหมื่นบาท อีกทั้งยังพบว่ามีการเช่าห้องพักในคอนโดมิเนียมสำหรับเป็นที่เก็บยา เพื่อรอการโพสต์ขายด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำสาธารณชนย้อนไปดูพฤติกรรมการทุจริต ‘เบิกจ่ายยา’ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ผ่านรายงาน ‘มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ’ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2560 ดังนี้
@เครือข่ายทุจริต‘เบิกจ่ายยา’แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุและพฤติกรรมการทุจริต
ปี พ.ศ.2553 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ติดตามเรื่องการทุจริตเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายาของข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า งบประมาณที่ใช้สำหรับค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและเครือญาติ เพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 เท่าตัว โดยมีการจับกุมข้าราชการ 8 ราย ที่ทุจริตเบิกค่ายา มูลค่าความเสียหายกว่า 4.6 ล้านบาท และส่งดำเนินคดีแล้ว
จากการสอบสวนของสำนักงาน ป.ป.ท. พบมูลเหตุจูงใจหลักที่ทำให้เกิดการทุจริต คือ
(1) การสมคบกันระหว่างโรงพยาบาล แพทย์ กับบริษัทผู้ผลิตจำหน่ายยาในรูปแบบของค่าคอมมิชชั่น เนื่องจากโรงพยาบาลและแพทย์ มีความสัมพันธ์กับยอดจำหน่ายยาของแต่ละบริษัท ที่จำหน่ายยาให้กับโรงพยาบาล และแพทย์มีความเห็นสนับสนุนยาชนิดนั้นๆ ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น ยาแถม ตัวเงิน หรืออาจเป็นการท่องเที่ยวต่างประเทศในรูปแบบของการสัมมนาดูงานในต่างประเทศ
(2) เกิดจากช่องโหว่ระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระบบการจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง โดยผู้ใช้สิทธิรักษาพยาบาลไม่ต้องสำรองจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองเหมือนในอดีต ผู้ใช้สิทธิจึงไม่รู้ว่าตนเองใช้สิทธิไปเท่าใด ขณะที่โรงพยาบาลแจ้งค่ารักษาพยาบาลกรมบัญชีกลางเท่าใด กรมบัญชีกลางก็จ่ายงบประมาณชดใช้คืนเท่านั้น
(3) ระบบคอมพิวเตอร์ของแต่ละโรงพยาบาลไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เนื่องจากโรงพยาบาลมีสังกัดหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการช้อปปิ้งยาได้
การตรวจสอบเชิงลึกพบว่ามีกระบวนการโยงใยเป็นเครือข่ายการทุจริต แบ่งออกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ใช้สิทธิและเครือญาติ ตรวจพบว่า มีพฤติกรรมช็อปปิ้งยาในทุกๆ 1-3 สัปดาห์ จะตระเวนใช้สิทธิในโรงพยาบาลต่างๆ หลายๆ แห่ง บางรายมีพฤติกรรมช็อปปิ้งยาเฉลี่ย 1 ปี มีค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 1.2 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 บุคลากรในโรงพยาบาล เป็นกลุ่มใหญ่ที่มีช่องโหว่ที่จะเข้าข่ายทุจริตเบิกค่ารักษาพยาบาลได้มากที่สุดโดยพบว่าแพทย์มีพฤติกรรมสั่งยาให้ตัวเองสัปดาห์ละประมาณ 20,000-30,000 บาท และสั่งยาเกินความจำเป็นในรายที่ผู้ป่วยไม่ค่อยได้มาใช้สิทธิที่โรงพยาบาล ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้มีการนำเวชระเบียนของผู้ป่วยมาเบิกยาโดยผู้ป่วยไม่ทราบเรื่อง
รวมถึงยังพบพฤติกรรมการบันทึกข้อมูลจำนวนยาสูงกว่าที่แพทย์สั่งจ่าย เช่น หมอสั่งจ่ายยาจำนวน 300 เม็ด แต่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลจ่ายยา 1,000 เม็ด กรณีแพทย์สั่งจ่ายยาเกินความจำเป็นให้แก่ผู้ป่วย และสั่งจ่ายยาที่ไม่เกี่ยวกับโรคที่วินิจฉัย เช่น ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคเข่าเสื่อม แพทย์สั่งจ่ายยารักษาโรคเข่าเสื่อมในขณะเดียวกันแพทย์ก็สั่งจ่ายน้ำตาเทียมไปด้วย
แพทย์บางรายมีเป้าหมายจ่ายยาออกมามากๆ เพื่อทำยอดให้กับบริษัทยา แลกกับผลประโยชน์ด้านอื่นๆ แพทย์บางรายสั่งจ่ายยาให้ตนเอง และบุคคลในครอบครัวด้วยตัวยาเดียวกัน โดยไม่มีการวินิจฉัยโรคและพบว่าแพทย์ผู้นั้นมีคลินิกส่วนตัว แพทย์สั่งจ่ายยานอกบัญชียาหลัก ซึ่งเป็นยาที่มีราคาแพงมาก เมื่อเทียบกับราคายาในบัญชีหลัก
อีกตัวอย่างหนึ่งพบว่า โรงพยาบาลจะเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในได้ โดยใช้วิธีการกำหนดเพดานงบประมาณและจัดสรรตามหลักเกณฑ์กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRG) ซึ่งระบบ DRG นั้น เมื่อแพทย์วินิจฉัยโรคแล้ว จะต้องให้รหัสโรค เพื่อคำนวณน้ำหนักโรค ซึ่งกรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินตรงให้โรงพยาบาลตามน้ำหนักโรคเป็นการเหมา แต่พบว่าโค้ดหรือรหัส ลงน้ำหนักโรคไม่ตรงตามความจริง ทำให้กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้โรงพยาบาลสูงกว่าความเป็นจริง
กลุ่มที่ 3 กลุ่มบริษัทจำหน่ายยา มีความเกี่ยวพันกับโรงพยาบาล มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ในรูปแบบต่างๆ เทียบจากงบประมาณค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลปี 2552 ประมาณ 61,000 ล้านบาท จะเป็นค่ายาประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินก้อนโต
อย่างไรก็ดี การจับผู้ต้องหา 8 รายที่กรมบัญชีกลางแจ้งความดำเนินคดีข้อหาทุจริตนั้น พบว่าส่วนใหญ่ อัยการจะไม่ส่งฟ้องเนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะเบิกค่ายาและแพทย์เป็นผู้สั่งให้ รวมถึงพฤติกรรมการช็อปปิ้งยาผู้ต้องหาอ้างว่าไม่มั่นใจการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลแห่งเดียวทำให้ต้องตระเวนไปรักษาหลายๆ โรงพยาบาล ก็ไม่ใช่ความผิดโดยตรง หรือบางรายอัยการก็เห็นว่าเป็นแค่คดีฉ้อโกงธรรมดา ไม่ถึงคดีทุจริต
@ยกเคสทุจริตเบิก‘ยก’ พบ‘เจ้าหน้าที่ รพ.’ทุกระดับเกี่ยวข้อง
ปี พ.ศ.2554 กรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยที่ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีที่ 20-25% ต่อปี ทำให้ค่ารักษาพยาบาลจะมีการเบิกจ่ายมากกว่า 50,000-60,000 ล้านบาท และในวงเงินนี้เป็นค่ายาเป็นสัดส่วนถึง 80% หากไม่มีการควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ในแต่ละปีมีโอกาสที่จะมีการเบิกจ่ายถึง 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติซึ่งส่อแววการทุจริตค่ายา กล่าวคือ ผู้ได้สิทธิเบิกจ่ายยาโดยตรงไปใช้สิทธิกับหลายโรงพยาบาล (ช็อปปิ้งยา) บางโรงพยาบาลพบว่า มีการจ่ายยาเกินสมควรหรือจ่ายยาที่ไม่ตรงกับคำวินิจฉัยของแพทย์ หรือการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยซ้ำซ้อนเกินขนาด
โดยแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตรวจสอบต่อไป และได้มีการเสนอแนวทางให้บริษัทประกันเข้ามาบริหารค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ โดยรับประกันในส่วนของค่ารักษาพยาบาล (จะเป็นแบบร่วมจ่าย) และโรคร้ายแรง (บริษัทประกันจ่าย) โดยให้บริษัท ท. จำกัด (มหาชน) ทำการศึกษาความเป็นไปได้
กรมบัญชีกลางมองว่าแนวทางของการเบิกจ่ายจะต้องผ่านระบบประกันทั้งหมด เพราะจะทำให้รัฐสามารถควบคุมงบประมาณได้ ปัจจุบันเป็นระบบปลายเปิด ทำให้มีการตั้งเบิกจ่ายมาได้ตลอดเวลา
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าตรวจสอบระบบเบิกจ่ายยาโรงพยาบาลรัฐระบบจ่ายตรงของครอบครัวข้าราชการ พบ 2 โรงพยาบาลมีความผิดปกติ คือ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร และโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี พบกรณีที่คล้ายคลึงกัน คือ มีการรับยาแทนผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลไม่มีระบบตรวจสอบอย่างรัดกุม
บางกรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาเซ็นชื่อรับยาแทนคนไข้ แต่คนไข้ไม่ได้รับยาจริง บางรายแพทย์มอบหมายให้พยาบาลเป็นผู้สั่งจ่ายยาให้คนไข้ได้ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง ทำให้เกิดช่องว่างที่ส่อทุจริต โดยระบบเบิกจ่ายตรงของกรมบัญชีกลาง ผู้ป่วยจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้ารวมถึงสแกนลายนิ้วมือและลงลายมือชื่อไว้กับโรงพยาบาล และหากญาติรับยาแทนก็ต้องปฏิบัติในลักษณะเดียวกันคือต้องลงชื่อรับรองการรับยา
จากการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษพบว่า โรงพยาบาลไม่ปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะทำหนังสือแจ้งไปยังกรมบัญชีกลางและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้มีหนังสือสั่งการให้โรงพยาบาลปฏิบัติตามระเบียบการจ่ายยาอย่างเคร่งครัด
สำหรับยาที่พบว่ามีการเบิกแทนกันมากที่สุด คือ ยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาไขมันอุดตันในเส้นเลือด ยารักษาความดันโลหิต ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พบว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในทุกระดับเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายยาให้คนไข้เกินความเป็นจริง แต่ขณะนี้ผลการสอบยังไม่ถึงระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ยังพบว่าบุคลากรโรงพยาบาล ส. ได้มีการสั่งซื้อยานอกบัญชียาหลักจำนวนมาก เช่น สั่งซื้อยาลดไขมัน (ROSUVASTATIN) ยอดสั่งซื้อจำนวน 72,896,681 บาท หรือสั่งซื้อยาลดการหลั่งกรด (ESOMEPRAZOLE) ยอดสั่งซื้อ จำนวน 51,028,750 บาท รวมประมาณ 120 ล้านบาท
@พบรูปแบบกระทำผิดเบิกยา 3 แบบ‘สวมสิทธิ-ยิงยา-ช็อปปิ้งยา’
ปี พ.ศ.2555 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกับกรมบัญชีกลาง แถลงผลการตรวจสอบการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ พบสิ่งผิดปกติโดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
(1) หลักฐานทางการเงินที่โรงพยาบาลขอเบิกกรมบัญชีกลางไม่ตรงกับข้อมูลค่ารักษาที่ส่งเบิกในระบบจ่ายตรง
(2) ลายมือชื่อแพทย์ในเวชระเบียนไม่ตรงกับลายมือชื่อแพทย์ในใบสั่งยา ใบสั่งยาของผู้ป่วยรายเดียวกัน วันเวลาเดียวกัน ไม่ตรงกับในเวชระเบียน
(3) หลักฐานเวชระเบียนพบว่ามีข้อมูลเข้ารับการรักษาจำนวน 6 ครั้ง แต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจริงเพียง 2 ครั้ง
(4) การสั่งจ่ายยาเพื่อการรักษาไม่สัมพันธ์กับอาการป่วยของผู้ป่วย เนื่องจากแพทย์สั่งจ่ายยาให้กับญาติผู้ป่วยที่ไม่มีสวัสดิการ
(5) มีการสั่งจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าที่ผู้ป่วยจะใช้ได้หมด โดยผู้ป่วยไม่ได้มาพบแพทย์
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมา สรุปได้ว่า หากจะมีการกระทำความผิดในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว อาจพบรูปแบบการกระทำความผิดแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
(ก) การสวมสิทธิ ผู้ป่วยหรือไม่มีอาการป่วย ซึ่งไม่มีสิทธิตามสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว เข้าสวมสิทธิรักษาพยาบาลของบุคคลที่มีสิทธิ โดยอ้างใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งกรณีนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ข) การยิงยา พบว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายยา มีการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็นและเหมาะสม สัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยรายนั้น หรือจ่ายยาในลักษณะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น เน้นการจ่ายยานอกบัญชียาหลัก ซึ่งมีราคาแพง โดยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทผู้ผลิตยา หรือตัวแทนจำหน่ายยา ในลักษณะของผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น เงินตอบแทน ของกำนัล การเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณไปเป็นจำนวนมาก
จากการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบบุคลากรทางการแพทย์ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะยิงยาจำนวนหลายครั้ง เกินปกติจากบริษัทยาที่มียอดการสั่งจ่ายสูง ในกรณีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการแยกเป็นรายๆ ไป
(ค) การช็อปปิ้งยา กรณีนี้ผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล ข้าราชการและครอบครัว จะเบิกค่ารักษาพยาบาลในลักษณะเดินสายขอตรวจรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ในช่วงวันเดียวกัน หรือระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมักเดินทางไปพบแพทย์เกินกำหนดนัด เป็นเหตุให้ได้รับยาจำนวนมากยิ่งขึ้น มีการดำเนินการลักษณะเป็นขบวนการ
มีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ ร้านขายยา บริษัทยา โดยปริมาณยาที่ได้รับไป หากบริโภคยาที่ได้รับไปทั้งหมดจะมีผลเป็นอันตรายแก่ร่างกายมากกว่าจะมีผลในการรักษาพยาบาล ดังนั้น วัตถุประสงค์ที่แท้จริง คือ การนำไปจำหน่ายหรือส่งมอบให้ผู้อื่นต่อไป กรณีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รวบรวมพยานหลักฐานและเสนอเป็นคดีพิเศษ
@พบตระเวนขอรับยาด้วย‘โรคเดียวกัน’แล้วนำไปขายต่อ
ปี พ.ศ.2559 กรมบัญชีกลางตรวจพบข้าราชการและบุคคลในครอบครัว 11 ราย มีพฤติกรรมเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่อทุจริต โดยได้ระงับสิทธิการเบิกจ่ายตรงทั้ง 11 รายแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2559
โดยพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ สมัครขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงไว้หลายโรงพยาบาล และตระเวนไปใช้บริการเพื่อขอรับยาด้วยโรคเดียวกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ตัวอย่าง เช่น นาง ก มารดาของข้าราชการ ได้สมัครจ่ายตรงไว้ 5 โรงพยาบาล เมื่อไปโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะขอรับยากลุ่มความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง
โดยแจ้งต่อแพทย์ผู้รักษาว่าขาดยาบ้าง ต้องไปต่างจังหวัดบ้าง เป็นต้น ซึ่งจะพบข้อมูลการเบิกจ่ายผิดปกติไปจากเดิม เช่น เบิกจ่ายสูงกว่าปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด จากเดิมในปีงบประมาณ พ.ศ.2556 เบิกจ่ายค่ายาจำนวน 58,981 บาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ.2557 เบิกจ่ายค่ายา 527,893 บาท ซึ่งในกรณีดังกล่าวมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีอาญาได้จำนวน 2 ราย จากทั้งหมด 11 ราย
นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2559 ปลัดกระทรวงการคลังให้ข้อมูลว่า ในปี 2558 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำวิจัยการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่า กองทุนสวัสดิการข้าราชการดูแลข้าราชการและครอบครัว 5 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล 5.95 หมื่นล้านบาท
ในขณะที่กองทุนประกันสังคมดูแลประชากรในระบบ 11 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลผู้ประกันตน 3.41 หมื่นล้านบาท และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูแลประชากรในระบบประมาณ 49 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้มีสิทธิ 1.41 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้รวมเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ 3.27 หมื่นล้านบาท คงเหลือเป็นเงินกองทุน 1.07 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นค่ารักษาพยาบาลต่อหัวต่อปี ดังนี้
สวัสดิการข้าราชการ คนละ 12,534 บาท/ปี
กองทุนประกันสังคม (ผู้ประกันตน) คนละ 3,276 บาท/ปี
กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) คนละ 2,922 บาท/ปี
ข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการต่อหัวสูงถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับระบบประกันสังคม และบัตรทอง ค่าใช้จ่ายที่สูงนี้นอกจากเป็นการเบิกค่ารักษาพยาบาลตามปกติ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากการเบิกจ่ายเกินความจำ เป็น รวมทั้งการทุจริตเวียนเทียนของผู้มีสิทธิด้วยการไปพบแพทย์หลายโรงพยาบาลทุกสัปดาห์ในโรคเดียวกัน เพื่อขอยาที่มีราคาแพงจำนวนมากแล้วนำไปขายต่อ
ขณะเดียวกัน ยังพบว่างบประมาณค่ารักษาพยาบาลข้าราชการที่ตั้งไว้แต่ละปีต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องมีการเบิกจ่ายเงินคงคลังมาจ่ายเพิ่มทุกปี ส่งผลให้ปีต่อๆ ไป รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาชดใช้เงินคงคลัง
อย่างไรก็ตาม ระบบของราชการไม่มีกำลังคนมากพอที่จะไปตรวจสอบรายละเอียด จึงเสนอให้ใช้ระบบประกันในการบริหารงบประมาณการรักษาพยาบาลสิทธิสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
@สรุปพฤติกรรมบุคลากร 3 กลุ่ม แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ข้อพิจารณา
คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยา พิจารณาแล้วเห็นว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 พบว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง จาก 37,004 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2549 เป็น 62,196 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2553
กล่าวคือ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวในระยะเวลาเพียง 4 ปี และสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ราคายาที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ปริมาณการใช้ยาที่สูงขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความสะดวกในการใช้สิทธิรักษาพยาบาล และการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านยาเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการสูงขึ้น โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ปัจจัยด้านพฤติกรรมของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง
บุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการเบิกจ่ายยามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้รัฐสูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือในบางรายมีพฤติกรรมทุจริต อาศัยช่องว่างในโอกาส ตำแหน่งหน้าที่หรือสิทธิที่ตนมี เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ทั้งนี้ อาจแบ่งกลุ่มของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องได้ 3 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มบริษัทยา มีพฤติกรรมการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม โดยการเสนอประโยชน์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา เพื่อแลกกับยอดจำหน่าย
ตัวอย่าง เช่น การเสนอให้แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเข้าร่วมการสัมมนาในต่างประเทศ การเสนอค่าคอมมิชชั่นในลักษณะการบริจาคให้แก่กองทุนสวัสดิการสถานพยาบาล หรือการให้ตัวอย่างยาแก่แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเป็นการเฉพาะบุคคล พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการจูงใจให้แพทย์สั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม
2.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา ทำการสั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม เช่น เลือกจ่ายยาที่มีราคาแพงโดยไม่จำเป็น ทั้งที่สามารถจ่ายยาที่มีราคาถูกที่มีคุณภาพเท่ากันได้ หรือจ่ายยาที่ไม่จำเป็นหรือในปริมาณเกินความจำเป็น หรือที่เรียกว่า “พฤติกรรมการยิงยา”
ในบางกรณีพบว่ามีการสั่งจ่ายยาโดยทุจริต เช่น จ่ายยาโดยไม่มีการตรวจรักษาเพื่อนำยาที่เบิกจ่ายไปใช้ส่วนตัว หรือโรงพยาบาลเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทยาเพื่อแลกกับการสั่งจ่ายยา เป็นต้น
3.กลุ่มผู้ใช้สิทธิ มีพฤติกรรมการใช้สิทธิอย่างไม่เหมาะสม เช่น การตระเวนใช้สิทธิตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อรักษาอาการเดียวกัน ในเวลาใกล้เคียงกัน หรือที่เรียกว่า “พฤติกรรมช็อปปิ้งยา” ซึ่งทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าความจำเป็นในการรักษา
บางกรณีพบว่ามีพฤติกรรมทุจริต เช่น บุคคลผู้ไม่มีสิทธิเข้ารับการรักษาโดยใช้สิทธิของบุคคลในครอบครัว หรือที่เรียกว่าการสวมสิทธิ หรือการตระเวนใช้สิทธิเพื่อนำยาที่ได้รับมาไปจำหน่ายต่อ เป็นต้น
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และพฤติกรรมทุจริตของบุคลากรทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม หรือการเบิกจ่ายยาอย่างไม่สมเหตุผล ทั้งในแง่ตัวยา ราคา และปริมาณ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง
เหล่านี้เป็นพฤติกรรมการทุจริต ‘เบิกจ่ายยา’ ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และแม้ว่า ป.ป.ช. ได้จัดทำข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ’ เสนอ ครม. เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ รับไปปฏิบัติ 2 ฉบับ คือ ฉบับปี 2560 และฉบับปี 2565
แต่ก็ยังพบปัญหาการทุจริต ‘เบิกจ่ายยา’ ในโรงพยาบาลของรัฐอีก เช่น ในรายของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เป็นต้น ที่สำคัญพฤติกรรมของการทุจริตดังกล่าว แทบไม่ได้แตกต่างจากในอดีตเลย!
อ่านประกอบ :
‘ป.ป.ช.’แจงผลมาตรการป้องกันทุจริต‘เบิกจ่าย’ยา-พบยังไม่กำหนดหลักเกณฑ์‘จริยธรรม’จัดซื้อฯ
'บิ๊กเต่า’ เผยคืบหน้าสอบทุจริตขายยา รพ.ทหารผ่านศึก หลังสอบแล้ว 90 ปาก พบทำมาตั้งแต่ปี 61