‘ป.ป.ช.’ แจงผลการติดตามมาตรการป้องกันทุจริต ‘เบิกจ่าย’ ยา 2 ระยะ พบ 'หน่วยงานรัฐ' บางแห่ง ยังไม่กำหนดหลักเกณฑ์ ‘จริยธรรม’ จัดซื้อฯ
.............................
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงผลการติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2560 (ระยะที่ 1) และมาตรการเพิ่มเติม ป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2565 (ระยะที่ 2) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบ
โดยผลการติดตามฯ (ระยะที่ 1) การดำเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ นั้น เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2563 กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนภาครัฐและภาคเอกชน ได้มีการดำเนินการพร้อมทั้งมีการสร้างความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวอย่างจริงจัง ดังนี้
1) กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการจัดประชุมชี้แจงรับฟังความคิดเห็นประเด็นการรับสนับสนุนจากบริษัทยาของโรงพยาบาลในและนอกสังกัดกระทรวงสธารณสุข เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลระบบยา ซึ่งได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เกณฑ์จริยธรรมการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2564
2) องค์การเภสัชกรรม ได้มีคำสั่งองค์การเภสัชกรรม ที่ 23/2561 ลงวันที่ 24 ก.ย.2561 เรื่อง ยกเลิกข้อบังคับองค์การเภสัชกรรมว่าด้วยการจ่ายเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
3) สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (PReMA) ได้ดำเนินการแก้ไขเกณฑ์จริยธรรมสำหรับช่องทางสถานพยาบาล ฉบับที่ 11.1 พ.ศ.2561 โดยเพิ่มเติมข้อความว่า “ข้อ 2.6 ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินเข้าบัญชีใดๆ ของสถานพยาบาลของรัฐ หากว่าการจ่ายเงินดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงกับการจัดซื้อจัดจ้างของสถานพยาบาลรัฐนั้น”
โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการแจ้งเวียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด/ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วไป/ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 1–12 ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน เพื่อรับทราบ
4) สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน (Thai Pharmaceutical Manufacture Association : TPMA) ได้แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาฯ ตามกำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา ข้อที่ 1 พร้อมทั้งได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจร่วมกัน เรื่อง การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จริยธรรมในการส่งเสริมการขายยาของสมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน
ส่วนผลการติดตามฯ ระยะที่ 2 หน่วยงานและหน่วยบริการบางแห่งในสังกัด 1) กระทรวงกลาโหม 2) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ 3) กระทรวงศึกษาธิการ และ 4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานผลว่า ได้นำหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาของกระทรวงสาธารณสุขมาปรับใช้กับหน่วยงานและหน่วยบริการในสังกัด แต่มิได้กำหนดหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา เพื่อบังคับใช้เฉพาะในหน่วยงานและหน่วยบริการในสังกัด ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม (รพ.ราชทัณฑ์) อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดหลักเกณฑ์จริยธรรม
ถึงแม้ว่าหน่วยงานข้างต้น จะดำเนินการตามภารกิจ บทบาทและอำนาจหน้าที่ และนำหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาให้มีรายละเอียดในลักษณะเดียวกับของกระทรวงสาธารณสุขแล้วก็ตาม แต่อาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานและหน่วยบริการ ซึ่งข้าราชการสามารถเบิกจ่ายยาได้ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล จึงควรดำเนินการให้ครอบคลุมถึงข้อเสนอแนะตามมาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ
@เปิดข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันทุจริต‘เบิกจ่าย’ยา
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ศึกษาแนวทาง “มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ” เนื่องจากมีการใช้อิทธิพลเพื่อส่งเสริมการขายยาของบริษัทยา โดยเฉพาะที่กระทำโดยตรงต่อแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่สำคัญมากประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผลในโรงพยาบาล
ประกอบกับปรากฏข่าวทางสื่อในช่องทางต่างๆ ในประเด็นการทุจริตเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายาของข้าราชการ ซึ่งได้มีการสอบสวนโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งพบว่ามีการกระทำในลักษณะเป็นกระบวนการโยงใยเป็นเครือข่ายการทุจริต โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ ผู้ใช้สิทธิและเครือญาติ บุคลากรในโรงพยาบาล และกลุ่มบริษัทจำหน่ายยา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยา ที่มี ศ.ภักดี โพธิศิริ เป็นประธานอนุกรรมการฯ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเบิกจ่ายยา รวมทั้งแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับกระบวนการเบิกจ่ายยา ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล
พร้อมทั้งเสนอความเห็นเพื่อให้มีการเสนอมาตรการ ความเห็น หรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำข้อเสนอแนะดังกล่าว เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ความนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
ส่วนประเด็นปัญหาที่นำไปสู่การพิจารณา ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง กล่าวคือ บุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการเบิกจ่ายยามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้รัฐสูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือในบางรายมีพฤติกรรมทุจริต อาศัยช่องว่างในโอกาส ตำแหน่งหน้าที่ หรือสิทธิที่ตนมีเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ทั้งนี้ อาจแบ่งกลุ่มของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องได้ 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มบริษัทยา มีพฤติกรรมการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม โดยการเสนอประโยชน์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา เพื่อแลกกับยอดจำหน่าย ตัวอย่าง เช่น การเสนอให้แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเข้าร่วมการสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการจูงใจให้แพทย์สั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม
2.กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา ทำการสั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม เช่น เลือกจ่ายยาที่มีราคาแพงโดยไม่จำเป็น ทั้งที่สามารถจ่ายยาที่มีราคาถูกที่มีคุณภาพเท่ากันได้ หรือจ่ายยาที่ไม่จำเป็นหรือในปริมาณเกินความจำเป็น ในบางกรณีพบว่ามีการสั่งจ่ายยาโดยทุจริต เช่น จ่ายยาโดยไม่มีการตรวจรักษาเพื่อนำยาที่เบิกจ่ายไปใช้ส่วนตัว เป็นต้น
3.กลุ่มผู้ใช้สิทธิมีพฤติกรรมการใช้สิทธิอย่างไม่เหมาะสม เช่น การตระเวนใช้สิทธิตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อรักษาอาการเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน หรือที่เรียกว่า “พฤติกรรมช็อปปิ้งยา” ซึ่งทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าความจำเป็นในการรักษา บางกรณีพบว่ามีพฤติกรรมทุจริต เช่น บุคคลผู้ไม่มีสิทธิเข้ารับการรักษาโดยใช้สิทธิของบุคคลในครอบครัว หรือที่เรียกว่าการสวมสิทธิ หรือการตระเวนใช้สิทธิเพื่อนำยาที่ได้รับมาไปจำหน่ายต่อ เป็นต้น
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และพฤติกรรมทุจริตของบุคลากรทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ตัวยา ราคา และปริมาณ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่สูงขึ้นอาจมีสาเหตุด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและพฤติกรรมทุจริต เช่น ราคายาที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ปริมาณการใช้ยาที่สูงขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งความสะดวกในการใช้สิทธิรักษาพยาบาล เป็นต้น
ทั้งนี้ ภายหลังการศึกษาพิจารณาเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อปรับปรุงการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ ป.ป.ช.มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะมาตรการฯดังกล่าว และเสนอ ครม. รับทราบ ประกอบด้วย
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ระยะที่ 1) เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2560 มี 2 ข้อเสนอ มีดังนี้
1.ข้อเสนอแนะเชิงระบบ
1.1 ผลักดันให้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use หรือ RDU) ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.ให้สถานพยาบาลของรัฐทุกสังกัด รวมถึงสถานพยาบาลเอกชน ซึ่งเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงสำหรับสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ นำหลักเกณฑ์การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) ที่เป็นมาตรฐานกลางซึ่งเกิดจากการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไปใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรม
2.ให้สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ใช้หลักเกณฑ์ของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) เป็นหนึ่งในมาตรฐานการพัฒนาและรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล
3.ให้รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การใช้ยาอย่างสมเหตุผลดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ จัดให้มีระบบการกำกับ ดูแลตรวจสอบการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในแต่ละระดับอย่างเหมาะสม
4.จัดให้มีกลไกการให้ข้อมูลวิชาการด้านยาที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลของโรค เวชศาสตร์เชิงประจักษ์ (Evidence Base) และการรักษา ตลอดจนราคากลางของยา โดยข้อมูลต้องเข้าถึงง่ายเป็นปัจจุบันถูกต้อง และน่าเชื่อถือ
1.2 จัดให้มีหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพและยา ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลการใช้ยากับสถานพยาบาลทุกสังกัดเพื่อตรวจสอบการใช้ยาอย่างเหมาะสม และเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางเพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที (real time) ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวอาจอยู่ในรูปแบบหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อฝ่ายบริหาร หรือเป็นองค์กรมหาชนตามข้อเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศก็ได้
1.3 กำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา ดังนี้
1. ห้ามไม่ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อทำการหารายได้ในลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทนทุกประเภทจากบริษัทยาเข้ากองทุนสวัสดิการสถานพยาบาล
2.ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุน (cost) มาตรฐาน (standard) ระยะเวลาในการส่งมอบ (time) การให้บริการ (service) และราคา (price) ประกอบการตัดสินใจ
3.ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อกำหนดคุณสมบัติของบริษัทคู่ค้าใน TOR ให้บริษัทคู่ค้าต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 103/7 มาตรา 123/5 และมีระบบอบรมเกณฑ์จริยธรรมฯ แก่พนักงาน โดยให้เป็นคะแนนบวกใน price performance
4.ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อใช้กลไกต่อรองราคาตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด 1.4 ให้เพิ่มความเข้มงวดของระบบตรวจสอบภายใน ทั้งในระดับสถานพยาบาลและระดับหน่วยงานต้นสังกัดของสถานพยาบาล
2.ข้อเสนอแนะเชิงภารกิจ
2.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเข้มงวด
2.2 การผลักดันให้มีการปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรม ดังนี้
2.2.1 ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ บังคับใช้เกณฑ์จริยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ประชาสัมพันธ์ และปลูกฝังให้บุคลากรและภาคประชาชนมีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเสนอขายยาอย่างเหมาะสม
2.2.2 ให้สภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณสุข ให้จัดให้มีเกณฑ์จริยธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายยา และการสั่งจ่ายยาในจรรยาบรรณวิชาชีพ
2.2.3 ให้เกณฑ์จริยธรรมฯ เป็นกลยุทธ์เสริมสร้างธรรมาภิบาลระบบจัดซื้อและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาของสถานพยาบาล
2.3 การปลุกจิตสำนึกบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ดังนี้
2.3.1 ให้หน่วยงานต้นสังกัดประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์จริยธรรมฯ ให้บุคลากรรับทราบ และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการปฏิบัติตนตามเกณฑ์จริยธรรม
2.3.2 ให้สถานพยาบาลประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์จริยธรรมฯ การส่งเสริมการขายยา และการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้ประชาชนได้รับทราบในรูปแบบของสื่อที่มีความเข้าใจง่าย สร้างเครือข่ายที่ประกอบไปด้วยบุคลากรในสถานพยาบาลและประชาชน ทำการเฝ้าระวังและตรวจสอบการส่งเสริมการขายยา และการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงมีช่องทางในการร้องเรียนและแจ้งข้อมูลการกระทำผิดให้แก่หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง
3.3 ให้กรมบัญชีกลางประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการใช้สิทธิรักษาพยาบาลในระบบสวัสดิการข้าราชการ ให้ผู้ใช้สิทธิมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไม่ใช้สิทธิของตนโดยไม่สุจริต
2.4 การสร้างมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมของภาคเอกชน เพื่อป้องกันการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม โดยให้สำนักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมตามมาตรา 123/5 รวมถึงกฎหมายอื่นที่มีความเกี่ยวข้องให้แก่บริษัทผู้จำหน่ายยาให้เกิดความรู้ความเข้าใจและนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นมุ่งเสนอต่อสถานพยาบาลของทางราชการตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาลตามสิทธิสวัสดิการข้าราชการ และการรักษาพยาบาลตามสิทธิสวัสดิการพนักงานส่วนท้องถิ่นเท่านั้น หากข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นเป็นประโยชน์ อาจนำไปใช้กับสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการในระบบโครงการประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยก็ได้
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ระยะที่ 2) เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2565 มีดังนี้
-ปรับเพิ่มรายละเอียดข้อเสนอแนะ มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการไปยังคณะรัฐมนตรี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 32 คือ ให้รัฐบาลดำเนินการสั่งการให้ “หน่วยงานและหน่วยบริการ ซึ่งข้าราชการสามารถเบิกจ่ายยาได้ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล”
อาทิ โรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์หรือวิทยาลัยแพทยศาสตร์ต่างๆ สังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักการแพทย์ สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานแพทย์ใหญ่ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมแพทย์ทหารบก สังกัดกองทัพบก กรมแพทย์ทหารเรือ สังกัดกองทัพเรือ กรมแพทย์ทหารอากาศ สังกัดกองทัพอากาศ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สังกัดกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
-กำหนดหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาให้มีรายละเอียดในลักษณะเดียวกับของกระทรวงสาธารณสุข หรือดำเนินการอื่นใดตามภารกิจ บทบาท อำนาจหน้าที่ เพื่อให้มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสามารถบังคับใช้ได้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานและหน่วยบริการ