
10 ข่าวเด่นแห่งปี 2567 'อิศรา' 'แพทองธาร' ลาออก กก.บริษัทหลัง 'เศรษฐา' พ้นตำแหน่งวันเดียว-ตรวจสอบธุรกิจ 'มาริษ เสงี่ยมพงษ์' รมต.ต่างประเทศ-'ซาบีดา' แจ้งลาออก กก.บ.รับเหมา วันเดียวกับพบ ‘อนุทิน’ ก่อนนั่ง มท.3-คุณหญิงพจมาน-ลูกสาว ขาย ม.ชินวัตร ให้ บ.ในฮ่องกง-หุ้นธุรกิจ ‘ศานนท์ หวังสร้างบุญ’ รองผู้ว่าฯกทม.-ค้นข้อมูล บ.เหลียนเซิง เจ้าของโครงการบ้านหรูย่านสนามบินน้ำมูลค่า 1 พันล. ถูกปปง.ยึดทรัพย์-รูปแบบการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์กองทัพในยุค 'ภูมิธรรม'-ป.ป.ท.ลุยสอบจัดเก็บรายได้แข่งบอลฯคิงส์คัพจังหวัดสงขลา-กทม.ซื้อเครื่องออกกำลังกาย ปี 65-จัดซื้อเสาไฟสินค้าบัญชีนวัตกรรม บ.ตัวแทนแข่งกันเอง
ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการทุจริต การประพฤติมิชอบของนักการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายคดี รวมถึงข่าวทรัพย์สินของนักการเมืองที่มีความน่าสนใจ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม 10 ข่าวเด่นในรอบปี 2567 ที่สำนักข่าวอิศรา ติดตามตรวจสอบมาให้สาธารณชนรับทราบ ณ ที่นี้
@ ข่าวเด่นบัญชีทรัพย์สินรัฐมนตรี-ข้าราชการระดับสูง
1.กรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากกรรมการบริษัท ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 (นายกฯคนที่ 31 เป็นนายกฯสุภาพสตรีคนที่ 2 ของทำเนียบนายกฯ) และ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งของเมืองไทย ปูมหลังทางการธุรกิจ เป็นกรรมการบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย จำนวน 23 บริษัท ในจำนวนนี้เลิกดำเนินการ 2 บริษัท ยังเปิดดำเนินการ 21 แห่ง มูลค่าการถือหุ้นเกือบหมื่นล้านบาท
โดยสำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวได้มอบอำนาจให้บุคคลอย่างน้อย 3 คนยื่นจดทะเบียนลาออกจากกรรมการของนางแพรทองธารทั้ง 21 แห่งแล้ว โดยมีบริษัท 4 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด 2.บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด 3.บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด 4.บริษัท เทมส์ วัลลี่ย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 (หลังนางสาวแพทองธารได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ 1 วัน) นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณาวงศ์ (พี่สาวนางสาวแพทองธาร) และนายอุดมศักดิ์ โง้วศิริ กรรมการบริษัทฯ ได้มอบอำนาจให้กับนางสาวสุภา แจ่มจิราวรรณ นายนราวิชญ์ พวงงาม และนางสาวภัทรา เคนตานันท์ ยื่นจดทะเบียนกรรมการออก 1 คน คือ นางสาวแพทองธาร ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร
ซึ่งน่าสังเกตว่า วันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ นางสาวแพรทองธารแจ้งลาออกจากกรรมการบริษัททั้ง 4 แห่ง (ตามเอกสารคำรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำกัด) เกิดขึ้นภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีลักษณะต้องห้าม เป็นผลให้รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2567 เพียง 1 วัน
(อ่านประกอบ : ‘แพทองธาร’ ลาออก กก.ธุรกิจเกลี้ยง 21 บริษัท- ‘อัลไพน์’ ด้วย หลัง ‘เศรษฐา’ พ้นวันเดียว)
2.กรณีตรวจสอบธุรกิจของ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

สำนักข่าวอิศราตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายมาริษ เป็นกรรมการ 5 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL 2. บริษัท พงศ์วัฒณะกุล จำกัด 3.บริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด 4.บริษัท เมต้า รีซอร์สเซส จำกัด 5.บริษัท สยาม สติกซ์ จำกัด ซึ่งมี 2 บริษัททำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชกัญชากัญชง ได้แก่ บริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และ บริษัท สยาม สติกซ์ จำกัด ซึ่งบริษัท สยาม สติกซ์ จำกัด เป็นบริษัทลูกของบริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ขณะนี้ได้จดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าบริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ขาดทุนสะสม 55 ล้านบาท หนี้สินรวมสูงว่าสินทรัพย์รวม 26 ล้านบาท บริษัทมีเงินยืมจากผู้ถือหุ้นและกิจการที่เกี่ยวข้องกัน จำนวน 18,980,824 บาท และ 1,370,280 บาท รวมทั้งสิ้น 20,351,104 บาท เงินยืมไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีหลักประกัน และไม่มีกำหนดชำระคืนที่แน่นอน
(อ่านประกอบ :เปิดธุรกิจ ‘มาริษ’ รมว.ต่างประเทศคนใหม่ กก. 5 บริษัท ร่วมหุ้นทุนแคนาเดียน สิงคโปร์)
3.กรณีน.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ ลาออกจากกรรมการบริษัท ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ท่าทรายหนองมะโมง ชาชีพ จำกัด ธุรกิจบ่อทรายและรับเหมาก่อสร้างในจ.ชัยนาท ได้แจ้งลาออกจากการเป็นกรรมการ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 ก่อนมีชื่อเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา
ซึ่งน่าสังเกตว่า การเป็นประธานประชุมบริษัทและลาออกจากกรรมการของนางสาวซาบีดา เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 (มิได้ระบุเวลาในการประชุม) ซึ่งเป็นวันจันทร์ เกิดขึ้นในช่วงวันเดียวกับการเดินทางมาพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อพูดคุยเสนอชื่อเป็นมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแทนนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้เป็นบิดา เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 ตามคำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของนายอนุทิน
(อ่านประกอบ : ลูกสาว ‘ชาดา’ ประชุม กก.บ.รับเหมา-แจ้งลาออก วันเดียวกับพบ ‘อนุทิน’ ก่อนนั่ง มท.3)
4.กรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นมหาวิทยาลัยชินวัตร

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2567 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง การเปลี่ยนชื่อสถาบันอุดมศึกษาเอกชน โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 อนุญาตให้ มหาวิทยาลัยเมธารัถย์ (METHARATH UNIVERSITY) เปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยชินวัตร (SHINAWATRA UNIVERSITY) ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมของสำนักข่าวอิศราพบว่า ก่อนเปลี่ยนชื่อ จากมหาวิทยาลัยเมธารัถย์ เปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยชินวัตรครั้งล่าสุดนี้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ดามาพงศ์) และบุตรสาว เป็นเจ้าของ ในนามบริษัท โอเอไอเอ็ดดูเคชั่น จำกัด ต่อมาได้ขายให้กลุ่มทุนจีนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เฟธสตาร์ประเทศไทย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยเมธารัถย์เมื่อปลายเดือนพ.ย.2564
มหาวิทยาลัยชินวัตร จดทะเบียนในนามบริษัท โอเอไอเอ็ดดูเคชั่น จำกัด วันที่ 5 มีนาคม 2541 ทุนเริ่มแรก 10 ล้านบาท ที่ตั้งเขที่ 99 หมู่ 10 ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มีคุณหญิงพจมาน น.ส.พินทองทา ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ถือหุ้นใหญ่ ต่อมาได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 5 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 19 มิถุนายน 2550 จดทะเบียนเป็น 2,500 ล้านบาท
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ณ วันที่ 2 เม.ย.2564 (ก่อนการเปลี่ยนแปลง) ผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 คน ได้แก่
1.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 56,249,997 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)
2.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 56,249,998 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท)
3.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ 67,500,000 หุ้น (หุ้นละ 10บาท) และ 70,000,000หุ้น (หุ้นละ 6.14 บาท) เฉพาะน.ส.พินทองทา 137,500,000 หุ้น
รวมหุ้นทั้งหมด 250,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท
วันที่ 18 พ.ย.2564 เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เฟธสตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) มีผู้ถือหุ้น 3 ราย ผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ราย ได้แก่
1.บริษัท โฮป เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป (ฮ่องกง) จำกัด (สัญชาติฮ่องกง) ที่ตั้งชั้น 40 ซันไลท์ ทาวเวอร์ 248 ควีนส์โรด อีส หว่านไจ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง) 56,249,997 หุ้น หุ้นละ 10 บาท (รับโอนมาจากคุณหญิงพจมาน) , 56,249,998 หุ้น หุ้นละ 10 บาท) (รับโอนมาจาก น.ส.แพทองธาร) ,10,000,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท) (รับโอนมาจาก น.ส.พินทองทา) , 4 หุ้น (รับโอนมาจากนางกาญจนภา หงษ์เหิน) หุ้นละ 10 บาท รวมบริษัท โฮป เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป ถือทั้งหมด 122,499,999 หุ้น หรือ 1,224,999,990 บาท
2.บริษัท โกลบอล แอดวานซ์ เลิร์นนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 57,500,000 หุ้น (หุ้นละ 10 บาท) และ และ 70,000,000หุ้น (หุ้นละ 6.14 บาท) (รับโอนมาจาก น.ส.พินทองทา) รวมทั้งหมด 127,500,000 หุ้น
(อ่านประกอบ : ไขปม! คุณหญิงพจมาน-ลูกสาว ขาย ม.ชินวัตร ที่แท้โอนหุ้น 1,224.9 ล้าน ให้ บ.ในฮ่องกง)
5.กรณีการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

สืบเนื่องจาก สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ถือครองหุ้นธุรกิจ 3 บริษัท โดยบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ. 5) ปรากฏชื่อนายศานนท์ เป็นผู้ถือครอง ทว่าไม่ปรากฏการแจ้งถือครองทรัพย์สินดังกล่าวในบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นแสดงต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) กรณีรับตำแหน่งวันที่ 1 มิ.ย.2565 แต่อย่างใด ขณะที่เจ้าตัวชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราว่าได้ยื่นเพิ่มต่อ ป.ป.ช.ไปแล้วแต่จำไม่ได้ว่าเมื่อใดและจะชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมต่อผู้สื่อข่าวอีกครั้ง
สำนักข่าวอิศราสืบค้นข้อมูลการถือครองหุ้นทั้ง 3 บริษัทของนายศานนท์มารายงานดังนี้
1.บริษัท เพียงพอสุข จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 มิถุนายน 2564 ทุน 100,000 บาท ประกอบกิจการร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเครื่องดื่ม ที่ตั้ง 471/1 หมู่ 7 ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย นายศานนท์เป็นผู้จองชื่อนิติบุคคลต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วันที่ 22 พ.ค.2564 นายศานนท์ และ น.ส.จิตชนก ต๊ะวิชัย ภรรยาเป็นกรรมการและร่วมกันถือหุ้น บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ณ วันประชุมจัดตั้งบริษัท วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นายศานนท์ และ น.ส. จิตชนก ถือครองคนละ 490 หุ้น จากทั้งหมด 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท
จากการตรวจสอบพบว่า หลังจากจดทะเบียนก่อตั้ง ไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ ไม่นำส่งงบการเงิน และมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด สถานะล่าสุดยังเปิดดำเนินการ
2.บริษัท ธุรกิจสำเพ็ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 มีนาคม 2562 ทุนล่าสุด 3,700,000 บาท ประกอบการกิจกรรมที่พักแรมระยะสั้น ที่ตั้งเลขที่ 382, 384, 386 ถนนวานิช 1 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ นายถือหุ้นจำนวน 20,897 หุ้นตั้งแต่จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทและร่วมเป็นกรรมการกับบุคคลอื่นรวม 10 คน กระทั่งจดทะเบียนลาออกจากกรรมการเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครปี 2565
3. บริษัท วันซ์ อะเกน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2558 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบการ โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุดที่ตั้ง 20,22 ซอยสำราญราษฎร์ ถนนมหาไชย แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ มีผู้ร่วมก่อตั้ง 6 คน น.ส.วิไล ธนสารอักษร ถือหุ้นใหญ่ นายศานนท์ถือ 2,500 หุ้น นายศานนท์ถือครองหุ้นเรื่อยมา บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ล่าสุด วันที่ประชุมผู้ถือหุ้น: 30 เมษายน 2567 (นำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท วันที่ 6 พ.ค.2567) มีผู้ถือหุ้นจำนวน 6 คน นายศานนท์ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท จากจำนวนทั้งหมด 50,000 หุ้น
(อ่านประกอบ : เปิด‘ที่มา’หุ้น 3 บริษัท ‘ศานนท์’ รองผู้ว่าฯกทม.ไม่มีในบัญชี ป.ป.ช.ถือครองตั้งแต่ก่อตั้ง)
@ ข่าวเด่นสืบสวน
6.กรณีตรวจสอบข้อมูลบริษัทเหลียนเซิง จำกัด

กรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.193/2567 ลงวันที่ 18 กันยายน 2567 เรื่องยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ราย นายสฤษฏ์ อดุลย์พิจิตร กับพวก จำนวน 52 รายการ รวมราคาประเมิน 2,561,188,503.70 บาท ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง อันเนื่องมาจากชักชวนร่วมลงทุนเทรดเงินเหรียญดิจิทัลอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนกำไรคืนเป็นเงินสกุสดอลลาร์สหรัฐ
ทรัพย์สินที่ ปปง.ยึดและอายัด 13 รายการ ได้แก่ ที่ดิน 11 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างโครงการบ้านราคาแพงย่านถนนสนามบินน้ำ อ.เมือง จ.นนทบุรี ราคาประเมิน 1,450 ล้านบาท (ใกล้กระทรวงพาณิย์) และ บัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย สาขาสีลม จำนวน 2 บัญชี 151,740,626.47 บาท รวมมูลค่า 1,601.7 ล้านบาท ทั้ง 13 รายการ มีชื่อ บริษัท เหลียนเซิง จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์/ผู้ครอบครอง
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบข้อมูลพบว่า พบว่า บริษัท เหลียนเซิง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 มีนาคม 2565 ทุน 2 ล้านบาท แจ้งรายละเอียดวัตถุประสงค์ 25 ข้อ วัตถุประสงค์เฉพาะตามแบบ สสช. ประกิจการค้าที่ดิน จัดสรรที่ดินและบ้าน ซื้อขาย เช่าให้เช่า บ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ ที่พักอาศัย ที่ตั้งเลขที่ 491/13 อาคารสีลมพลาซ่า ชั้น2 ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายวิชัย ชัยมงคล เป็นผู้เริ่มก่อการจดทะเบียนและถือหุ้นใหญ่ 10,200 หุ้น นายธนพัด ธนิตอาภาสกุล 6,000 หุ้น และ น.ส.วรรณวิษา แซ่ลี 3,800 หุ้น
14 กรกฎาคม 2566 จดทะเบียนกรรมการเข้า 1 คน ออก 2 คน - นายปรีชา แซ่หล่อ (สัญชาติไทย) เข้าเป็นกรรมการ นายตู้จิน สวี และนายซู หย่งซาน ออก มีกรรมการ 3 คน ได้แก่ นางสาวสุรมน ล้นเหลือ นายปรีชา แซ่หล่อ และ นายโจว ซูหมิ่น จนถึงล่าสุด
หลังจดทะเบียนก่อตั้งและมีผู้ถือหุ้นชุดแรกต่อมาเปลี่ยนแปลงทุนและผู้ถือหุ้น 8 ครั้ง มีกลุ่มบุคคลสัญชาติจีนเข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ 14 มี.ค.2565 และถือหุ้นใหญ่เรื่อยมา
วันที่ 27 มี.ค.2566 มีผู้ถือหุ้น 5 ราย เป็นบุคคลสัญชาติจีน 4 ราย และ บริษัท เหลี่ยน ฟา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 1 ราย ถือหุ้นใหญ่ 7,500,000 หุ้น จากจำนวนทั้งหมด 1,500,000 หุ้น
(อ่านประกอบ : ขุด บ.เหลียนเซิง ปปง.ยึดทรัพย์ 1,600 ล. ทุนจีนหุ้นใหญ่ - 3 คนโดนอายัดเงินฝาก 127 ล.)
7.กรณีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ

สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ต.ค.2567 เห็นชอบก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปี งบประมาณรายการใหม่ฯ จำนวน 1,612 รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพัน 352,583 ล้านบาท
ในจำนวนนี้ เป็นรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 33 รายการ วงเงิน 114,666.6 ล้านบาท ที่น่าสนใจ
สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ได้แก่
1.เฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางรับ-ส่ง บุคคลสำคัญ จำนวน 2 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ ระบบสนับสนุนการฝึก การฝึกอบรม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ปีงบ 2568-2571 ภาระวงเงินผูกพัน 3,506.7 ล้านบาท (งบประมาณ 3,339.7 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด 167 ล้านบาท)
2.เครื่องบินรับ-ส่ง บุคคลสำคัญ ทดแทนเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 19 (บ.ล.19) จำนวน 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ การฝึกอบรม และสิ่งอานวยความสะดวกอื่นๆที่จำเป็น แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ปีงบ 2568-2571 ภาระวงเงินผูกพัน 12,778.5 ล้านบาท (งบประมาณ 12,170 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด 608.5 ล้านบาท)
กองทัพอากาศ: ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างกำลังกองทัพ โครงการใหม่ผูกพัน โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ระยะที่ 1 ปีงบ 2568-2572 ภาระวงเงินผูกพัน 20,475 ล้านบาท (งบประมาณ 19,500 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด 975 ล้านบาท) รวมเม็ดเงิน 2 หน่วยงาน 36,760.2 ล้านบาท
ไม่มีข้อมูลว่าการจัดซื้อ 3 รายการดังกล่าวดำเนินการจัดซื้อโดยใช้รูปแบบใด? จากการสืบค้นของสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) หากยึดโยง
1.พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารงานภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง (2) วรรคสอง และวรรคสี่
2.ประกาศคณะกรรมการนโยบายจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ยุคนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ลงนามประกาศ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 มีผลบังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจาฯ สาระสำคัญการจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ กำหนดให้ดำเนินการเพียง 2 รูปแบบ คือ (1.) การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government to : G to G ) (2.) การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติโดยวิธี Foreign Military Sales (FMS)
และข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์ฯของกองทัพภายหลังประกาศคณะกรรมการนโยบายจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติบังคับใช้เมื่อ 20 ตุลาคม 2560 อาทิ กองทัพบก จัดซื้อ เฮลิคอปเตอร์รุ่น AW 139 และ AW 149 กว่าสิบลำ ราคาลำละ 600-700 ล้านบาท ดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร ปัจจุบันยังใช้งานอยู่หรือไม่ อย่างไร ?
(อ่านประกอบ : ช็อปปิ้ง เฮลิคอปเตอร์-เครื่องบิน-ฝูงบิน 36,760 ล. กองทัพยุค‘บิ๊กอ้วน’ใช้รูปแบบใด?)
8.กรณีการจัดแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ จังหวัดสงขลา

การจัดแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ณ สนามกีฬาติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ในช่วงเดือนต.ค.2567 กำลังถูกจับตามอง เมื่อปรากฏข้อมูลว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เขต 9 ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานในการจัดแข่งขันทั้งหมด หลังได้รับการร้องเรียนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับปัญหาการจัดเก็บรายได้จากการจัดการแข่งขัน
แหล่งข่าวจาก สำนักงาน ป.ป.ท.ภาค 9 เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2567 พันตำรวจเอกกษิดิศ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ท. เขต 9 ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ท. ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานการจัดแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ณ สนามกีฬาติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 11, 14 ต.ค.2567 ที่ผ่านมา
ระบุว่า ด้วย สำนักงาน ป.ป.ท.ได้รับเรื่องร้องเรียน/แจ้งเบาะแส เกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพครั้งที่ 50 ณ สนามกีฬาติณสูลานนท์ เมื่อวันที่ 11, 14 ต.ค.2567 และได้มอบหมายให้ สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 9 ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 9 จึงขอให้ท่านในฐานะผู้บังคับบัญชาหรือกำกับดูแลหน่วยงานที่ร่วมจัดการแข่งขันแจ้งข้อเท็จจริงและส่งมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการดังกล่าว
1. ขอทราบว่าในการจัดการแข่งขันครั้งนี้มีหน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดบ้างร่วมดำเนินการจัดการแข่งขัน และมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อจัดการแข่งขันครั้งนี้กี่รายการ รายการใดบ้าง
2. ขอทราบรายละเอียด รายรับรายจ่ายในการจัดการแข่งขัน รวมทั้งรายละเอียดการสนับสนุนจากภาคเอกชนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน
3. ขอทราบว่า หน่วยงานใดเป็นหน่วยงานที่กำหนดอัตราและจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าในบริเวณสนามกีฬาติณสูลานนท์ ในวันที่ 11 และ14 ต.ค.2567 ซึ่งเป็นวันแข่งขัน พร้อมทั้งขอรายละเอียดการจัดเก็บทั้งหมด
(อ่านประกอบ : สะเทือน ‘สงขลา’! ป.ป.ท.ลุยสอบจัดเก็บรายได้แข่งบอลฯคิงส์คัพ แจ้งผู้ว่าฯ ขอหลักฐานทั้งหมด)
9.กรณีกทม.จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพง

กรณีเพจเฟซบุ๊ก ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลระบุว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เครื่องละ 400,000 บาท โดยระบุว่าเครือข่าย STRONG ต้านทุจริตประเทศไทยพบเห็นความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อแพงจริงภายใน ศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และ ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ รวมกัน 2 ที่เกือบ 10 ล้านบาท และในปี 2567 กทม. จัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องออกกำลังกาย กว่า 9 โครงการ ด้วยงบประมาณกว่า 77.73 ล้านบาท ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจจะจัดซื้อในราคาแพงเกินจริง ต่อมาเพจเฟซบุ๊ก ต้องแฉ สืบค้นข้อมูลในเว็บ ACT Ai พบว่า ในปีงบประมาณ 66-67 กทม. จัดซื้อไปทั้งหมด 7 โครงการ วงเงินรวมกว่า 77 ล้านบาท และพบข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าทั้ง 7 โครงการ เปิดให้มีการแข่งขันราคาด้วยวิธี e-bidding แต่ทั้ง 7 โครงการจะมีผู้เข้าเสนอราคาเพียง 2 รายเท่านั้น และมี 4 โครงการ ที่มักจะมีเอกชน 1 ราย ที่เสนอเท่ากับราคากลางเป๊ะ ๆ
ขณะที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมทีมงาน เปิดแถลงข่าวยืนยันความโปร่งใสในการบริหารงาน พร้อมเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เอาจริงเอาจัง ไม่ยอมรับต่อกับการทำผิด
สำนักข่าวอิศรา (www.isanews.org) สืบค้นข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องออกกำลังกายของกรุงเทพมหานคร โครงการแรกๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2564-2565 ก่อนการจัดซื้อโครงการอื่นในช่วงเวลาต่อมาจนถึงปี 2567 คือ ซื้อเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งพร้อมติดตั้ง 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก วงเงินตามสัญญา 3,495,000 บาท ที่ปรากฏชื่อ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ชนะ
พบข้อมูลสำคัญว่า กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กำหนดราคากลางจัดซื้อ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 หรือเป็นช่วงเวลาห่างกันเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในเอกชนที่ถูกใช้เป็นแหล่งสืบราคากลางด้วย
(อ่านประกอบ : เจาะสัญญาแรก! กทม.ซื้อเครื่องออกกำลังกาย ปี 65 สืบราคาผู้ชนะ หลังตั้งบริษัท 14 วัน)
10.กรณีจัดซื้อสินค้าบัญชีนวัตกรรม

การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าในบัญชีนวัตกรรมไทย ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงบประมาณ อันเป็นมาตรการส่งเสริมและผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่หากหน่วยงานของรัฐมีความต้องการจัดซื้อจัดจ้างตรงตามบัญชีสามารถดำเนินการโดยวิธีการเจาะจงได้ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีการจัดซื้อสินค้าจากเอกชนที่ปรากฏชื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้เอกชน ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าเจ้าเดียว ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเป็นกรณีการจัดซื้อชุดเสาไฟถนนโคนเสาพับได้โคมไฟแอลอีดีพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell LED Streetlight with Folding Pole) ตามบัญชีนวัตกรรมไทย รหัส 07020031 เพื่อติดตั้งในถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกินศักยภาพ ในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จำนวน 914 ชุด วงเงิน 58,490,000 บาท ก็เข้าข่ายเป็นกรณีการจัดซื้อจากเอกชนที่ปรากฏชื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้เอกชน ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าเจ้าเดียวเช่นกัน
โครงการฯ นี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี เป็นเจ้าของโครงการฯ ใช้วิธีคัดเลือก ปรากฏชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.เจ.เอ็น.เทรดดิ้ง เป็นคู่สัญญา ลงนามในสัญญา เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67
จากการตรวจสอบฐานข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานภาครัฐ พบว่า อบจ.ปราจีนบุรี ได้รับวงเงินงบประมาณจัดสรร จำนวน 58,496,000 บาท
กำหนดราคากลาง 58,496,000 บาท (เท่ากับวงเงินงบประมาณ ราคา 64,000 บาท ต่อชุด)
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.เจ.เอ็น.เทรดดิ้ง เสนอราคาต่ำสุด 58,490,000 บาท เป็นผู้มีคุณสมบัติและข้อเสนอทางเทคนิค ถูกต้องครบถ้วน
เมื่อตรวจสอบฐานข้อมูลบัญชีนวัตกรรมไทย โดยสำนักงบประมาณ ฉบับเพิ่มเติม ต.ค.2566 รหัสสินค้า 07020031 พบว่า สินค้าชนิดนี้ ปรากฏชื่อบริษัท อัตถสาร จำกัด เป็นผู้จำหน่าย โดยบริษัท อัตถสาร จำกัด จ้างสถาบันสหกิจศึกษาและพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกศ์-เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิจัยโคมไฟแอลอีดี และจ้างศูนย์เทคโนโลยี โลหะแห่งชาติ วิจัยเสาไฟโคนเสาพับได้
เอกชนที่ยื่นซองเสนอราคา ทั้ง 5 ราย คือ บริษัท เศรษฐีธาดา กรุ๊ป จำกัด , ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.เจ.เอ็น.เทรดดิ้ง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด 63 รุ่งเรืองเจริญยิ่ง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทิพยา ก่อสร้าง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิรกาญจน์โยธา ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ บริษัท อัตถสาร จำกัด ทั้งหมด
น่าสังเกตว่า
1. การจัดซื้อสินค้าบัญชีนวัตกรรมไทย เปิดโอกาสให้ใช้วิธีเฉพาะเจาะจงได้ แต่ อบจ.ปราจีนบุรี เลือกใช้วิธีการคัดเลือก
2. การเสนอราคาแข่งขันงานของเอกชนทั้ง 5 ราย คือ บริษัท เศรษฐีธาดา กรุ๊ป จำกัด , ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.เจ.เอ็น.เทรดดิ้ง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด 63 รุ่งเรืองเจริญยิ่ง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทิพยา ก่อสร้าง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิรกาญจน์โยธา ที่ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ บริษัท อัตถสาร จำกัด เสนอราคาแข่งขันงานห่างกันอยู่ที่หลักพันบาท
มีเพียง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทิพยา ก่อสร้าง เสนอราคาต่ำสุด 54,840,000 บาท ไม่ได้รับการคัดเลือก?
3. โครงการฯ นี้ บริษัท อัตถสาร จำกัด ปรากฏชื่อเข้าซื้อซองด้วย แต่ไม่ยื่นเสนอราคาแข่งขันงาน แต่ไม่ว่าเอกชนรายไหนชนะ ก็ต้องมาซื้อสินค้าจาก บริษัท อัตถสาร จำกัด ไปขายให้กับ อบจ.ปราจีนบุรี อยู่ดี
การที่ อบจ.ปราจีนบุรี เลือกใช้วิธีการคัดเลือก แทนวิธีเจาะจง สามารถสะท้อนให้เห็นการแข่งขันเสนอราคาที่แท้จริงในโครงการฯ นี้ ได้หรือไม่?
อบจ.ปราจีนบุรี ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันราคาอย่างแท้จริงหรือไม่?
สินค้าที่จัดซื้อมามีความคุ้มค่ากับวงเงินงบประมาณที่เสียไปหรือไม่?
เป็นความจริง ที่ต้องค้นหาคำตอบที่ชัดเจนกันต่อไป
(อ่านประกอบ : สินค้าใหม่บัญชีนวัตกรรม! เสาไฟถนนพับได้ อบจ.ปราจีน ทุ่มซื้อ58 ล. บ.ตัวแทนแข่งกันเอง)
เหล่านี้คือ 10 ข่าวเด่นในปี 2566 ที่บางกรณีมีข้อสรุปและจบลงแล้ว แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุป หรือถูกทิ้งไว้อย่างค้างคา หรืออยู่ในกระบวนการสอบสวน
สำนักข่าวอิศราจะติดตามและนำเสนอข่าวในปี 2568 ต่อไป!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา