"...องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่าพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกได้ เพียง 3 เดือนเศษ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างใด หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำคณะครูไปยังสำนักสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 5 เพื่อแจ้งปัญหาการก่อสร้างสนามฟุตซอลไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการบอกเลิกสัญญาในบางโรงเรียน เป็นการระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2567 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษา คดีดำ อม.18/2565 กรณี นางสมหญิง บัวบุตร อดีต สส.พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 12 ราย ทุจริตในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2555 งบแปรญัตติ ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ ทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) มีลักษณะมุ่งหมายมีให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่การเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐและการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานและวิธีการสร้างสนามกีฬา ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
โดยศาลฯ มีคำพิพากษา จำคุก นางสมหญิง บัวบุตร จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ปรับ 100,000 บาท จำคุกนายชินภัทร ภูมิรัตน จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 5 ปี ปรับ 150,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 5, 7, 9, 11 คนละ 2 ปี ปรับจำเลยที่ 4, 6, 8, 10 รายละ 22,467,500 บาท ให้จำเลยที่ 1, 2 และ 7 รอการลงโทษ 3 ปี
ทางนำสืบของจำเลยที่ 4-11 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 จำคุกจำเลยที่ 5,7,9,11 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 4,6,8,10 คนละ 14,978,333.33 บาท จำคุกจำเลยที่ 12 เป็นเวลา 2 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้เผยแพร่เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผลคำพิพากษาโดยย่อของคดีข้างต้น มีรายละเอียด ดังนี้
5 ก.ย. 2567 เวลา 10 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำนคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.18/2565 หมายเดงที่ อม.31/2567 ระหว่าง
อัยการสูงสุด โจทก์
นางสมหญิง บัวบุตร ที่ 1
นายชินภัทร ภูมิรัตน ที่ 2
นายดุลย์ กองทอง ที่ 3
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จี โอ โอ ดี ที่ 4
นายอนุชา หรือนนทชิต วงศ์มณีรัตน์ ที่ 5
บริษัทที วี เอ็น เทคโนโลยี จำกัด ที่ 6
นางสาวพรเพ็ญ ภิรมย์กิจ ที่ 7
บริษัทวายอีอี จำกัด ที่ 8
นายยี พณิชยา ที่ 9
บริษัทสปอร์ต แอนด์ เกม จำกัด ที่ 10
นางสาวเบญจพันธ์ บุญบงการ ที่ 11
นายพิพัฒน์ กาลพัฒน์ ที่ 12 จำเลย
คดีนี้ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 โจทก์ยื่นฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอำนาจเจริญ เขตเลือกตั้งที่ 1 จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) อำนาจเจริญ จำเลยที่ 12 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนโนนม่วงโนนจิก จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึงเดือนมกราคม 2556 จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 เข้าไปพิจารณาคำขอเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำเลยที่ 1 กำหนดรายชื่อโรงเรียน จัดทำบัญชีคุมยอดรายการแปรญัตติ พ.ศ. 2555 (ใบโควตา) เชิญผู้อำนวยการโรงเรียนให้เข้าร่วมฟังจำเลยที่ 12 ชี้แจงและแจกแผ่นซีดีและตัวอย่างเอกสารการจัดทำโครงการ จำเลยที่ 3 ยอมรับการจัดสรรรงบประมาณ โดยไม่ทักท้วงที่มาของงบประมาณไม่วิเคราะห์ความขาดแคลน ความจำเป็นเร่งด่วนของโรงเรียน 12 แห่ง
จากนั้นจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 โดยจำเลยที่ 5 ที่ 7 และที่ 9 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและกรรมการผู้จัดการ ยื่นซองประกวดราคาหมุนเวียนเป็นคู่เปรียบเทียบราคากัน อันเป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ได้ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารหนังสือจากบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายฉบับเดียวกัน จำเลยที่ 9 และที่ 10 โดยจำเลยที่ 11 แต่งตั้งจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทในครั้งเดียวกัน จำเลยที่ ที่ 9 และที่ 11 มีความสัมพันธ์อันถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการรายเดียวกัน
จำเลยที่ 4 ได้เข้าเป็นคู่สัญญากับโรงเรียน 6 แห่ง และจำเลยที่ 6 ได้เข้าเป็นคู่สัญญากับโรงเรียน 3 แห่ง เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จปรากฏว่าแผ่นยางสังเคราะห์บวม โก่งงอ ไม่สามารถต้านแรงลมได้ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ จำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 12 ในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ กระทำการทุจริตในกระบวนการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (งบแปรญัตติ) และกระทำการทุจริตในกระบวนการจัดชื่อจัดจ้าง โดยมีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 151, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 7, 10, 11, 12, 13 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และขอให้นับโทษต่อตามฟ้อง
จำเลยทั้งสิบสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 11 และที่ 12 รับว่าเป็นจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลนัดไต่สวน 23 นัด เริ่มไต่สวนนัดแรกวันที่ 22 มิถุนายน 2566
@ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยปัญหาแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
เห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบที่จะดำเนินการไต่สวนคดีนี้ได้ภายในอายุความ ตามมาตรา 48 วรรคท้ายและโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนีได้ภายในอายุความ ตามมาตรา 77 วรรคท้าย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
@ จำเลยที่ 2, 3 ทำผิดกม.โดยมีจำเลยที่ 1 และ 4-12 สนับสนุนหรือไม่
ปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 โดยมีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ร่วมกระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดหรือไม่
เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีบันทึกข้อความขอเพิ่มงประมาณจากคำของบประมาณเดิมที่ถูกปรับลด ซึ่งไม่ปรากฏคำขอเพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ อันเป็นขั้นตอนปกติ ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรงบประมาณของ สพฐ. มีการจัดทำใบโควตา และมีการจัดสรรงบประมาณตามบัญชีรายชื่อสมาชิกสกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองจริง หากไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว ย่อมต้องจัดสรรงบประมาณตามคำขอเดิมที่ได้วิเคราะห์ความขาดแคลนเป็นอย่างดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะจัดสรรนอกเหนือไปจากคำของบประมาณเดิม จำเลยที่ 2 แจ้งจัดสรรงบประมาณให้แต่เฉพาะโรงเรียนตามรายชื่อที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแจ้งมาเท่านั้น ทั้งที่โรงเรียนทั้ง 12 แห่ง ไม่เคยของบประมาณก่อสร้างสนามฟุตชอลมาตั้งแต่แรก พฤติการณ์จึงบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ใช้อำนาจจัดสรรงบประมาณไปตามใบโควตา อันเป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในชั้นกรรมาธิการที่กำหนดให้ต้องใช้ข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎรโดยการประสานงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งประมาณรายจ่ายจ่ายก่อสร้างสนามฟุตซอล อันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่นจากงบประมาณนั้น ย่อมเป็นการกระทำโดยทุจริตและเป็นการดำเนินการไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. และราชการ
ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 เสนอคำของบประมาณเพิ่มเติมตามคำขอเดิมทั้งหมด จึงฟังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเสนอตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 เป็นเพียงการพิจารณาในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรงบประมาณของ สพฐ. นั้น บัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณมีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงบางราย แสดงให้เห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่ไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณก็จะไม่มีรายชื่อในบัญชีดังกล่าว แม้จำเลยที่ 1 เพิ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกได้เพียง 3 เดือนเศษ ก็ไม่มีเหตุผลที่บุคคลอื่นจะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนทั้ง 15 แห่ง ล้วนแต่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เลือกตั้งของจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น การที่มีรายชื่อจำเลยที่ 1 ปรากฎในบัญชีดังกล่าว จึงเป็นข้อพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณด้วย ทั้งผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องย่อมไม่ทราบข้อมูล
เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลรวมถึงรายชื่อโรงเรียน แต่จำเลยที่ 1 กลับยืนยืนว่า เป็นงบประมาณเพื่อก่อสร้างสนามฟุตชอล
@ คดีขาดอายุความ
จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้มีการดำเนินการตามใบโควตา ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ของ สพฐ. อันเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้เงินงบประมาณโดยมิชอบ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาจัดสรรรงบประมาณของ สพธ. จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 แต่ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 นั้นขาดอายุความแล้ว
ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่งมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพป.อำนาจเจริญ ภายหลังจากโรงเรียนยื่นคำของบประมาณกรณีปกติแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอของบประมาณปกติมาแต่แรกส่วนในชั้นการพิจารณางบประมาณแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในลักษณะเริ่มต้นจากบนลงล่าง การที่จำเลยที่ 3 มิได้ทักท้วงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันจะส่อพิรุธว่าเป็นการทุจริต
ส่วนการพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 พิจารณาอนุมัติให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 2 แจ้งจัดสรรงบประมาณพร้อมรายชื่อโรงเรียน จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. และราชการ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนจำเลยที่ 12 ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับผู้อำนวยการโรงเรียนตามฟ้องคนใด อีกทั้งจำเลยที่ 12 ก็รับราชการอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีคนละเขตพื้นที่กัน กรณีจึงไม่มีเหตุต้องให้จำเลยที่ 12 ช่วยดำเนินการในขั้นตอนการจัดสรรบประมาณ
นอกจากนี้ในวันที่จำเลยที่ 12 ชี้แจงที่ร้านต้นอ้อลาบเป็ดนั้น มีการแจกของเอกสารสีน้ำตาลซึ่งระบุชื่อโรงเรียนไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 12 จะเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 12 มีส่วนร่วมหรือกระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะที่มีการกระทำความผิดในส่วนนี้
ส่วนจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 นั้น ไม่ปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) เพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 เคยรู้จักหรือติดต่อกับจำเลยที่ 2 ในเรื่องการก่อสร้างสนามฟุตซอล อันจะทำให้เห็นว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะกก่อนหรือขณะจำเลยที่ 2 กระทำความผิด
@ จำเลย 1-12 ทำผิดตามพ..ร.บ.เสนอราคา หรือไม่
ปัญหาต่อไปต้องวินิจฉันว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ หรือไม่
เห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจัดชื่อจัดจ้างโรงเรียนในสังกัด สพป.อำนาจเจริญ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดในส่วนนี้
ส่วนจำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งกรอบวงเงินที่จะจัดสรรเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ที่ 2 ไปพบหรือติดต่อกับผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัด สพป.อำนาจเจริญตลออดจนผู้เสนอราคารายใด รวมทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโรงเรียน ทั้งไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในการจัดทำแผ่นซีดีด้วย จึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดในส่วนนี้
ส่วนจำเลยที่ 3 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลางตามคำสั่งที่ 200/2555 สืบเนื่องมาจากสพฐ. ไม่มีแบบมาตรฐานสนามฟุตซอลและผู้อำนวยการโรงเรียนได้มาหารือกับจำเลยที่ 3 แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มิได้เป็นผู้ริเริ่มให้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมาเองตั้งแต่แรก การใช้ข้อมูลจากแผ่นซีดี มิได้เกิดจากการบังคับหรือสั่งการของจำเลยที่ 3 หากแต่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในของแต่ละโรงเรียนเอง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความเกี่ยวพันเป็นพิเศษกับผู้เสนอราคาจนอาจเป็นมูลเหตุนำไปสู่การชี้นำหรือสั่งการเพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้เสนอราคา อีกทั้งขณะนั้นยังไม่ปรากฏข้อทักท้วงว่า การกำหนดเงื่อนไขรายชื่อหนังสือจะเป็นช่องทางกีดกันบุคคลอื่นมิให้เข้ามาร่วมแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรมได้ ลำพังรายชื่อหนังสือดังกล่าวยังไม่พอ บ่งชี้ว่าเป็นหนังสือที่ไม่สามารถหาได้หัวไปในท้องตลาดหรือเจ้าของสิทธิในหนังสือจะเข้ามาเสนอราคาด้วย
การกระทำของคณะกรรมการกำหนดราคากลางจึงอาจเป็นเพียงการกระทำตามแบบอย่างที่โรงเรียนอื่นอื่นบนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งหากจำเลยที่ 3 รู้ถึงความผิดปกติของการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 จะเแต่งตั้งตนเองเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลางทั้ง 2 ชุด ซึ่งทำให้ต้องเสี่ยงต่อการตรวจสอบกล่าวหาในภายหลัง จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ ม.10, 11, 12 ตามฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นตัวการในการกระทำความผิดตามตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ ม.10, 11, 12, 13 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 12 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 3 ตามที่โจทก์ฟ้อง
สำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 เห็นว่า เอกสารแนบท้ายประกาศประกวดราคาจ้างกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ ให้รวมถึงหนังสือซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการมีหรือใช้สนามฟุตซอล อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 อย่างเจาะจง มีผลเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นไม่ให้เข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เนื่องจากอาจไม่สามารถจัดหาหนังสือเหล่านี้มาได้ โดยมีการแต่งตั้งจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือดังกล่าวในช่วงเวลาที่ใกล้กับการแจ้งจัดสรรรบประมาณของ สพฐ. ส่อให้เห็นว่ามิใช่เป็นการประกอบการค้าอย่างปกติ
อีกทั้งจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ต่างก็ใช้เอกสารหนังสือรับรองจากจำเลยที่ 10 และเป็นเอกสารฉบับเดียวกัน โดยเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อความย่อหน้าสุดท้ายเหมือนกัน ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันจัดเตรียมเอกสารที่ใช้ในการยืนประกวดราคาด้วยกัน และมีการยื่นเอกสารประกวดราคาของจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 รวมทั้งหนังสือมอบอำนาจโดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ว่าจ้างบุคคลกลุ่มเดียวกัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 คบคิดร่วมกันกันในการเสนอราคามาตั้งแต่ต้น ส่วนจำเลยที่ 10 และที่ 11 นั้น แม้จะไม่ได้ยื่นซองประกวดราคาและเข้าร่วมในการเสนอราคา (เคาะราคา) ด้วย แต่จำเลยที่ 10 และที่ 11 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอราคาของจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ด้วย เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายหนังสือที่ต้องใช่ในการประกวดราคา แต่งตังตัวแทนจำหน่ายแผ่นยางสังเคราะห์อันเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้างสนามกีฬา การช่วยเหลือจัดหาหลักประกันในการยื่นซองประกวดราคาหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา และหลักประกันผลงาน
ทั้งยังได้จัดเตรียมหนังสือรับรองแผ่นยางสังเคราะห์ ตลอดจนช่วยเหลือทางการเงินโดยทดรองออกเงินค่าปูพื้นคอนกรีต กับรับโอนสิทธิรับเงินค่าจ้างก่อสร้างบางโรงเรียน ซึ่งเกินเลยไปกว่าการช่วยเหลือตัวแทนจำหน่ายเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าตามปกติ ประกอบกับจำเลยที่ 11 ก็อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 9 และพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันอีกด้วย พฤติการณ์บ่งชี้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ
ส่วนจำเลยที่ 7 ทราบถึงการเข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 5 แต่แรกแล้ว ข้ออ้างที่ว่าไม่ได้อ่านเอกสารนั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
สำหรับจำเลยที่ 12 ได้เข้าไปมีส่วนสำคัญในการชี้แจงแนวทางการจัดซื้อจัดจ้าง มีการแจกของเอกสารระบุชื่อโรงเรียนและแผ่นชีดีที่มีข้อมูลการจัดทำเอกสารการจัดชื่อจัดจ้าง อันบ่งชี้ว่ามีการวางแผนตระเตรียมการล่วงหน้าจนนำไปสู่การกำหนดร่างขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะให้มีรายการหนังสือเป็นเงื่อนไขในการประกวดราคา เป็นช่องทางอย่างหนึ่งที่ทำให้มีการกีดกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามาร่วมแข่งขันเสนอราคาได้อย่างเท่าเทียมกัน จำเลยที่ 12 มุ่งประสงค์ที่จะให้ผู้อำนวยการโรงเรียนเรียนเชื่อถือข้อมูลในแผ่นซีดี ซึ่งคณะกรรมการต่าง ๆ ของโรงเรียนก็ได้ใช้ข้อมูลซึ่งตรงกับในแผ่นชีดี ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังจากทราบว่า หจก. ต. ชนะการประกวดราคาจำเลยที่ 12 โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการโรงเรียนในลักษณะแสดงความไม่พอใจ นับว่าผิดปกติวิสัยของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการร่วมกันเสนอราคาเป็นอย่างยิ่ง จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 12 มีส่วนพยายายามกีดกันผู้ประกอบการอื่นมิให้สามารถแข่งขันราคากับกลุ่มของจำเลยที่ 4 และที่ 6 ได้อย่างเป็นธรรม
การกระทำของจำเลยที่ 12 เป็นการกระทำโดยวิธีการอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 7 แล้ว
@ พิพากษา
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 จำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 255542 มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 12 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7
ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 100,000 บาท
จำเลยที่ 2 กระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี และปรับ 150,000 บาท
จำคุกจำเลยที่ 5 ที่ 7 ที่ และที่ 9 และที่ 11 คนละ 2 ปี และปรับจำเลยที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 10 เป็นเงินคนละ 22,467,500 บาท
ทางนำสืบของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 11 เป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คงจำคุก จำเลยที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 11 คนละ 1 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 10 คนละ 14,978,333.33 บาท
จำคุกจำเลยที่ 12 มีกำหนด 2 ปี
องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่าพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกได้ เพียง 3 เดือนเศษ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างใด หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำคณะครูไปยังสำนักสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 5 เพื่อแจ้งปัญหาการก่อสร้างสนามฟุตซอลไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการบอกเลิกสัญญาในบางโรงเรียน เป็นการระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย
ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฎว่าได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน คงกระทำความผิดไปตามเงื่อนไขในขั้นกรรมาธิการว่าจะต้องใช้ข้อมูลรายละเอียดประกอบการจัดสรรรบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎรโดยการประสานงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจำเลยที่ 2 มุ่งหวังจะให้มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย (งบแปรญัตติ) เพิ่มเติมให้แก่หน่วยงานในสังกัดของตนเท่านั้น ต่อมาได้มีการสร้างสนามฟุตซอล เพื่อประโยชน์ของโรงเรียนจริง โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบกับจำเลยที่ 2 อายุ 71 ปีเศษ ปฏิบัติหน้าที่ราชการมาเป็นเวลานาน นับว่ามีคุณงามความดีมาก่อน
ส่วนจำเลยที่ 7 เป็นเพียงแม่บ้านและพี่เลี้ยงเด็ก พฤติการณ์แห่งคดีเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 7 เข้าร่วมกระทำความผิดเนื่องจากอยู่ภายได้ความครอบงำของนายจ้าง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 7 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด คนละ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที 1 และที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 10 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
นับโทษจำเลยที่ 5 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.99/2566 และโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.159/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4
นับโทษจำเลยที่ 9 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.100/2566 และโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.160/2566 ของศาลอาญาคดีจริตและประพฤติมิชอบภาค 4
นับโทษจำเลยที่ 11 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.100/2566 และโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขแดงที่อท.160/2566 ของศาลอาญาคดีทจริตและประพฤติมิชอบภาค 4
นับโทษจำเลยที่ 12 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขแดงที่ อท.99/2566 และโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงที่อท.159/2566 ของศาลอาญาคดีจุริตและประพฤติมิชอบภาค 4
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 9 และที่ 11 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ที่ 74 ที่ 76 และที่ 82 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.17/2564 ของศาลนี้นั้น เนื่องจากศาลรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีนี้และคดีหมายเลขดำที่ อม.17/2564 ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอของโจทกในส่วนนี้
ส่วนข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 12 นอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3