"...ผู้ยื่นไม่ได้แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนและคู่สมรส หลายรายการ ซึ่งรายการทรัพย์สินที่ไม่แสดงและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน รวมมูลค่า 750,794.34 บาท ได้แก่ รายการเงินฝากของคู่สมรส จำนวน 3 บัญชี เป็นเงิน 217,566.48 บาท รายการยานพาหนะของคู่สมรส จำนวน 1 คัน มูลค่า 145,000 บาท รายการเงินเบิกเกิน (หนี้บัตรเครดิต) ของคู่สมรส บัญชี 5 รายการ เป็นเงิน 158,231.86 บาท รายการเงินกู้จำนวน 2 บัญชี เป็นเงิน 229,996 บาท..."
กรณีนักการเมืองท้องถิ่นจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เอกสารประกอบ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้ถูกชี้มูลความผิด ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
- ปี 2566 ศาลฎีกาฯพิพากษา จนท.รัฐ-นักการเมืองท้องถิ่น‘ไม่ยื่นบัญชีฯ-ยื่นเท็จ’ 21 ราย
- ผลลัพธ์กม.ใหม่ ป.ป.ช.ปี66 คดีจนท.รัฐ-นักการเมืองท้องถิ่น‘ไม่ยื่นบัญชีฯ-ยื่นเท็จ’
ล่าสุด ในการแถลงผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือน ประจำปี พ.ศ. 2567 ของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 และ ป.ป.ช. จังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2567 มีการเปิดเผยคดีนักการเมืองท้องถิ่นจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เอกสารประกอบ หรือปกปิดข้อเท็จจริง จำนวน 6 ราย ใน 2 จังหวัด คือ ชุมพร และพังงา
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
จังหวัดชุมพร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองท้องถิ่นในเขตจังหวัดชุมพร จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 3 ราย คือ
1. นาย อ. ตำแหน่ง นายกเทศมนตรีตำบลขุนกระทิง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง
2. นาย ว. ตำแหน่ง รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาพญา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง
3. นาย ท. ตำแหน่ง รองนายกเทศมนตรีตำบลนาชะอัง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่ง
จังหวัดพังงา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองท้องถิ่นในเขตจังหวัดพังงา จำนวน 3 ราย ดังนี้
- กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 2 ราย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ได้มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองท้องถิ่นในเขตจังหวัดพังงา จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และขอให้ลงโทษทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1), มาตรา 81 และมาตรา 167 และมอบหมายให้เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินโดยการตรวจสอบเชิงลึก ดังนี้
1. นาย ส. รองนายกเทศมนตรีตำบลเกาะยาวใหญ่ อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2564
2. นาย ว. รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2564
- จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 1 ราย มีการเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นดังนี้
นาย จ. ตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และได้ยื่นบัญชีกรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564
ตรวจสอบยืนยัน พบว่า ผู้ยื่นไม่ได้แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนและคู่สมรส หลายรายการ ซึ่งรายการทรัพย์สินที่ไม่แสดงและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน รวมมูลค่า 750,794.34 บาท ได้แก่ รายการเงินฝากของคู่สมรส จำนวน 3 บัญชี เป็นเงิน 217,566.48 บาท รายการยานพาหนะของคู่สมรส จำนวน 1 คัน มูลค่า 145,000 บาท รายการเงินเบิกเกิน (หนี้บัตรเครดิต) ของคู่สมรส บัญชี 5 รายการ เป็นเงิน 158,231.86 บาท รายการเงินกู้จำนวน 2 บัญชี เป็นเงิน 229,996 บาท
จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติว่า นาย จ. จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหี้สินนั้น กรณีเข้ารับตำแหน่ง ให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยต่อไป ตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และเป็นการกระทำความผิดมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ทั้งนี้ ในการเปิดเผยผลชี้มูลคดีนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 และ ป.ป.ช. จังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดอาญาของคณะกรรมการป.ป.ช.ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
บทสรุปการต่อสู้คดีในชั้นศาลของ นักการเมืองท้องถิ่น ทั้ง 6 ราย จากนี้เป็นอย่างไร ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป