ละเอียดยิบ ! คำพิพากษาศาลฎีกาฯฉบับเต็ม คดี‘ปารีณา ไกรคุปต์’ อดีต สส.ราชบุรี ยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ กรณีพระเครื่องดัง 2 องค์ไม่ตรงในเอกสารยื่น ป.ป.ช. - เงินให้กู้ยืม 7.7 ล. ช่วยค่าใช้จ่ายกำนันคนสนิทลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ไขคำตอบทีละประเด็น ไฉนคำชี้แจงฟังขึ้น ไม่มีเจตนากระทำผิด ยกคำร้อง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.21/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.25/2556 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยกรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จฯ 2 รายการ ได้แก่
1. กรณีเงินให้กู้ยืม 7.7 ล้านบาท ซึ่งจากการไต่สวนเจ้าของเช็คเงินกู้ให้การปฏิเสธ เป็นการปล่อยกู้ตีเช็คเปล่าค้ำประกัน ไม่มีการกู้กันจริง
2. กรณีพระสมเด็จบางขุนพรหม 2.5 ล้านบาท พระนางพญา ราคา 3.5 ล้านบาท ที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน มีการนำพระอื่นมาแสดงแทนซึ่งไม่ตรงกับรายการที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน
ศาลพิพากษายกคำร้องทั้งสองกรณีตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง:รอด! ศาลฎีกาพิพากษา ยกคำร้อง คดีปารีณายื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ)
ย้อนไปก่อนหน้านี้ 7 เม.ย.2565 น.ส.ปารีณาถูกศาลฎีกา พิพากษา คดีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกา สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี มีผลให้ไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ (ข่าวเกี่ยวข้อง: ศาลฎีกาพิพากษา'ปารีณา'ผิดจริยธรรมร้ายแรง สั่งหลุด ส.ส.-ห้ามดำรงตำแหน่งการเมืองตลอดชีวิต)
เท่ากับหมดอนาคตทางการเมือง
อาจมีคำถาม!
คดีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สิน อดีต สส.ราชบุรีหลุดพ้นข้อกล่าวได้อย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงคำพิพากษา ศาลวินิจฉัยในแต่ละประเด็นมารายงาน อย่างชัด ๆ ในบรรทัดถัดไป
วันที่ 8 เดือน กันยายน พุทธศักราช 2566
ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง
นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ผู้ถูกกล่าวหา
เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
@ คำร้อง ป.ป.ช. ปกปิดข้อเท็จจริง 2 รายการ
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ปฏิญาณตนก่อนเข้า ปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ คมจ. 1/2565 ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4 มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562
ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่งด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ 2 รายการ คือ รายการเงินให้กู้ยืมรายนายประทีป มีพรบูชา ตามสัญญาเงินกู้ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 จำนวน 7,700,000 บาท และรายการพระเครื่อง 2 องค์ คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย มูลค่า 2,500,000 บาท และ พระสมเด็จนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ มูลค่า 3,500,000 บาท
โดยรายการเงินให้กู้ยืมตามสัญญาเงินกู้ไม่ปรากฎหลักฐานการส่งมอบเงินกู้และเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่นายประทีปมอบให้ไว้แก่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระบุจำนวนเงินและวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเช็คเป็นเพียงหลักประกันที่ผู้ถูกกล่าวหาให้การสนับสนุนนายประทีปในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่มีมูลหนี้ตามสัญญา และคดีที่นายประทีปถูกผู้ถูกกล่าวหาร้องทุกข์ในข้อหาฉ้อโกงและออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง
ส่วนรายการพระเครื่อง 2 องค์ จากการตรวจสอบเปรียบเทียบกับพระเครื่อง 2 องค์ ที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาแสดงมีลักษณะไม่เหมือนกับภาพถ่ายที่ใช้เป็นเอกสารประกอบ ขอให้วินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหาเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1) ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 167 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81
@ ที่มาเงินกู้ยืม 10 ล. ให้อดีตนายกเทศมนตรีกู้ไม่คิดดอก-ใช้คืนแล้ว 3.3 ล.
ผู้ถูกกล่าวหาให้การว่า ผู้ถูกกล่าวหารู้จักสนิทสนมกับนายประทีป มีพรบูชา เป็นเวลากว่า 30 ปี นายประทีปเคยดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ช่วงปี 2555 นายประทีปประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต และส่งผู้สมัครในทีมของนายประทีป 12 คน ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาลตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี นายประทีปขอให้ผู้ถูกกล่าวหาช่วยเหลือโดยขอกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจกรรมทางการเมืองและการเลือกตั้งเป็นเงินจำนวน 10,000,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาตกลงให้นายประทีปเงินจำนวนดังกล่าวโดยไม่คิดดอกเบี้ย
ต่อมาปี 2566 นายประทีปและผู้สมัครในกลุ่มได้รับเลือกตั้งรวม 7 คน ในช่วงดำรงตำแหน่งนายประทีปคืนเงินให้ผู้ถูกกล่าวหารวม 3,300,000 บาท ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2561 ผู้ถูกกล่าวหาและนายประทีปได้มีการเจรจาตกลงเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวและทำสัญญาเงินกู้ใหม่จำนวน 7,700,000 บาท และนายประทีปนำโฉนดที่ดินเลขที่ 30235 ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ให้ผู้ถูกกล่าวหายึดถือเป็นหลักประกัน
@พระเครื่อง 2 องค์อดีตสามียกให้-เคยยื่น ป.ป.ช.มาก่อนหน้า ไม่มีเจตนายื่นเท็จ
ส่วนพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และพระสมเด็จนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ เดิมเป็นของนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสามี นายอุปกิตมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาขณะเป็นสามีภริยา ก่อนหน้านี้ผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องในวาระดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ผู้ถูกกล่าวหาจึงใช้ราคาพระเครื่องทั้งสององค์ตามบัญชีเดิมและภาพถ่ายซึ่งอยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่เคยยื่นต่อผู้ร้อง
ผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่สนใจพระเครื่องไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดของพระเครื่อง ไม่ได้พิจารณาว่าพระเครื่องที่ครอบครองเป็นพระรุ่นเดียวกันกับองค์เดิมที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบก่อนหน้า และยื่นไม่ตรงกับมูลค่ากับทรัพย์สินที่ครอบครองหรือไม่ ไม่มีเจตนาแสดงราคาสูงกว่าความเป็นจริง และไม่มีเจตนาแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบในทรัพย์สินอื่นส่วนนี้ต่อผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
@ ยื่นแสดงพระเครื่องขณะเป็น ส.ส.สมัยที่ 2 ปี 2551
พิเคราะห์พยานหลักฐานจากสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คำร้องพร้อมเอกสารประกอบ คำให้การของผู้ถูกกล่าวหา และตามที่คู่ความไมได้โต้เถียงกัน ประกอบคำแถลงปิดคดีของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า
ผู้ถูกกล่าวหาจดทะเบียนสมรสกับนายอุปกิต ปาจรียางกูร เมื่อเดือนธันวาคม 2550 ต่อมาจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557
ผู้ถูกกล่าวหาเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี รวม 4 สมัย
สมัยที่ 1 ตั้งแต่ วันที่ 7 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549
สมัยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 10พฤษภาคม 2554
สมัยที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และ
สมัยที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2564
ขณะผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ได้แสดงรายการ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้ายและ พระสมเด็จนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ ไว้ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของผู้ถูกกล่าวหาต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554
ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่อง 2 องค์ตามคำร้องไว้ในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย ระบุราคา 2,500,000 บาท และลำดับที่ 23 คือ พระสมเด็จนางพญา พิมพ์อกนูนใหญ่ ระบุราคา 3,500,000 บาท โดยผู้ถูกกล่าวหาขอใช้เอกสารชุดเดิมที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2 ส่วนกรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และกรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่อง 2 องค์ ตามคำร้องไว้ในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 และลำดับที่ 23 โดยขอใช้เอกสารร่วมกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง
ส่วนนายอุปกิต เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 ตามเอกสารหมาย ศ.1
@ปี 2565 ยื่นฟ้องคนกู้ -ศาลสั่ง ให้ชดใช้ 10.2 ล.
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 4 ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืม รายนายประทีป มีพรบูชา จำนวน 7,700,000 บาท ตามสัญญาเงินกู้ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ตามเอกสารหมาย ร.22 และรายการพระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 1705 และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลกพิมพ์อกนูนใหญ่ ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 1704 โดยผู้ถูกกล่าวหาระบุในหมายเหตุว่าใช้ร่วมกับกรณีพ้นจากตำแหน่ง ปี 2556 ตามเอกสารหมาย ร.12
แต่จากการตรวจสอบของผู้ร้องในขณะผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ รายการเงินให้กู้ยืมรายนายประทีปตามสัญญาเงินกู้ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ไม่ปรากฎหลักฐานการส่งมอบเงินกู้ และไม่ได้แนบเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่นายประทีปสั่งจ่ายไม่ได้ระบุจำนวนเงินและวันเดือนปี ตามเอกสารหมาย ร.22 แผ่นที่ 1571 และ 1572 เป็นเพียงหลักประกันเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาให้การสนับสนุนนายประทีปในการลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต และอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายประทีปข้อหาฉ้อโกงและออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
ส่วนพระเครื่อง 2 องค์ ที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาแสดงต่อผู้ร้อง คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุเก่า) และพระนางกำแพงหรือพระนางพญากำแพงเพชร ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 1702 และแผ่นที่ 1703 ซึ่งเป็นคนละองค์กับพระเครื่องที่แสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้ร้องจึงมีความเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ผู้ถูกกล่าวหายื่นฟ้องนายประทีปให้รับผิดตามสัญญาเงินกู้ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ต่อศาลจังหวัดราชบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.553/2565 และศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.390/2566 ให้นายประทีปชำระเงินจำนวน 10,215,352 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,700,000บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ถูกกล่าวหา ตามเอกสารหมาย ค.4 และ ค.10
@ประเด็นวินิจฉัยจงใจยื่นเท็จฯปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่?
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น หรือไม่
@กรณีเงินให้กู้ยืม 7.7 ล. – ฟังว่ากู้ยืมกันจริง ช่วยเหลือหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรี
สำหรับรายการเงินให้กู้ยืมรายนายประทีป มีพรบูชา จำนวน 7,700,000 บาทตามสัญญาเงินกู้ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามสำนวนการไต่สวนของผู้ร้องว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการส่งมอบเงินกู้จำนวนดังกล่าว และเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่นายประทีปมอบให้ไว้แก่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระบุจำนวนเงินและวันเดือนปีที่สั่งจ่ายและคดีที่นายประทีปถูกผู้ถูกกล่าวหาร้องทุกข์ในข้อหาฉ้อโกงและออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง
และในชั้นไต่สวนผู้ร้องมีนายประทีปเป็นพยานให้ถ้อยคำว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ผู้ถูกกล่าวหาชักชวนพยานให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง พยานไม่ได้รับเงินตามสัญญาเงินกู้ดังกล่าว เมื่อเดือนสิงหาคม 2555 พยานเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพธารามและได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาโพธาราม เลขที่ 091391 มอบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหลักประกันการช่วยเหลือในการหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้แจ้งให้พยานมอบหลักประกันเพิ่ม คือ สัญญากู้ยืมและโฉนดที่ดินที่เป็นที่ตั้งบ้านที่พยานอาศัยอยู่ พยานเข้าใจว่าหากทำสัญญากู้ยืมแล้วจะได้รับเช็คคืนพยานและนายสุทธิเขตต์ หลักชัย จึงเดินทางไปพบผู้ถูกกล่าวหาที่บ้าน ผู้ถูกกล่าวหานำสัญญาเงินกู้มาให้พยานลงลายมือชื่อ และนายสุทธิเขตต์ลงลายมือชื่อเป็นพยาน แต่ในคดีหมายเลขแดงที่ พ.390/2566 ของศาลจังหวัดราชบุรี ที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นโจทก์ฟ้องนายประทีปเป็นจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเงินกู้ฉบับดังกล่าว ตามคำเบิกความพยานจำเลยปากนายประทีปและนายสุทธิเขตต์ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2566
นายประทีปตอบคำถามค้านทนายความโจทก์ว่า “ในการลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนั้น ข้าฯ มีสมาชิกในกลุ่มซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลอยู่ด้วย 12 คน ซึ่งเงินที่โจทก์ให้การสนับสนุนนั้นรวมถึงสมาชิกในกลุ่มของข้าฯ ทั้ง 12 คนด้วย ข้าฯ ใช้เวลาในการหาเสียงประมาณ 3 เดือน ก่อนเลือกตั้ง และข้าฯ ได้รับการเลือกตั้งในปี 2556 โดยสมาชิกในกลุ่มได้รับการเลือกตั้ง 6 คน ซึ่งโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่โจทก์ไม่เคยแจ้งยอดเงินที่ให้การสนับสนุนข้าฯ ให้ข้าฯทราบ”
และนายสุทธิเขตต์ตอบคำถามค้านทนายความโจทก์ว่า “ในครั้งที่จำเลยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยและสมาชิกในกลุ่มของจำเลยในการหาเสียงเลือกตั้ง จำเลยบอกพยานว่าให้ไปเป็นเพื่อนจำเลยเพื่อไปทำสัญญากู้ยืม ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์ให้การสนับสนุนจำเลยในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี ระหว่างที่โจทก์ นายอันฟามร์ ศิริโต และจำเลยพูดคุยกันนั้น พยานไม่ได้สนใจฟังจึงไม่ทราบรายละเอียดแต่ได้ยินว่าโจทก์พูดทวงเงินจากจำเลย...”
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า จากคำเบิกความของนายประทีปและนายสุทธิเขตต์ในคดีดังกล่าวนายประทีปยอมรับว่าผู้ถูกกล่าวหาให้เงินสนับสนุนนายประทีปและสมาชิกในกลุ่มในการหาเสียงเลือกตั้ง เจือสมกับที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่าช่วงประมาณปี 2555 นายประทีปประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต และส่งผู้สมัครในกลุ่มจำนวน 12 คน ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาล นายประทีปได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ถูกกล่าวหาโดยขอยืมเงินเพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเมืองและการหาเสียง
ผู้ถูกกล่าวหาตกลงให้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ต่อมานายประทีปได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคตและผู้สมัครในกลุ่มได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลคลองตาคต 6 คน ในช่วงดำรงตำแหน่งนายประทีปได้ชำระเงินบางส่วนคืนให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ได้มีการเจรจาตกลงเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวและทำสัญญาเงินกู้กันใหม่และเจือสมกับที่นายอันฟามร์ ให้ถ้อยคำว่า เมื่อปี 2556 นายประทีปลาออกจากกำนันตำบลคลองตาคตเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต มาขอความช่วยเหลือในการหาเสียงและยืมเงินผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่คิดดอกเบี้ย พยานเป็นผู้เขียนสัญญาและลงลายมือชื่อเป็นพยาน
ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2561 นายประทีปและนายสุทธิเขตต์ มาหาผู้ถูกกล่าวหาที่บ้านได้เจรจากับผู้ถูกกล่าวหาเรื่องที่ได้กู้ยืมเงินกันว่านายประทีปยังคงค้างชำระหนี้เป็นเงิน 7,700,000 บาท พยานเป็นผู้เขียนสัญญาเงินกู้และลงลายมือชื่อในฐานะพยานร่วมกับนายสุทธิเขตต์ เมื่อมีการตกลงทำสัญญาเงินกู้ฉบับใหม่จึงฉีกสัญญาฉบับเดิมทิ้ง ที่นายประทีปให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และพฤติการณ์แห่งคดีที่นายประทีปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาโพธาราม และสั่งจ่ายเช็คมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหลักประกัน
เมื่อผู้ถูกกล่าวหาขอหลักประกันเพิ่ม นายประทีปก็ได้นำโฉนดที่ดินไปให้ผู้ถูกกล่าวหายึดถือ และวันที่นายประทีปชวนนายสุทธิเขตต์ไปบ้านของผู้ถูกกล่าวหา นายประทีปบอกนายสุทธิเขตต์ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้แก่นายประทีปและสมาชิกในกลุ่มในการหาเสียงเลือกตั้ง ขอให้นายสุทธิเขตต์ไปเป็นเพื่อนเพื่อไปทำสัญญากู้ยืมที่ผู้ถูกกล่าวหาให้การสนับสนุนนายประทีปในการลงสมัครรับเลือกตั้ง และในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหา นายอันฟามร์ และนายประทีปพูดคุยกัน นายสุทธิเขตต์ได้ยินผู้ถูกกล่าวหาพูดทวงเงินจากนายประทีป
เชื่อว่านายประทีปได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งจากผู้ถูกกล่าวหา และไม่ได้เป็นการช่วยเหลือแบบให้เปล่า แม้จะไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาส่งมอบเงินตามสัญญาเงินกู้ให้แก่นายประทีปตามที่ผู้ร้องกล่าวหาแต่ทางไต่สวนไม่ปรากฎพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอมการที่นายประทีปยอมมอบเช็คและโฉนดที่ดินแก่ผู้ถูกกล่าวหาไว้เป็นหลักประกัน ย่อมเป็นการสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกกล่าวหาและนายประทีปมีข้อตกลงรับเงินช่วยเหลือกันในทางการเมืองดังกล่าว
และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงจากสำนวนการไต่สวนของผู้ร้องว่ามีการสมคบกันทำสัญญาเงินกู้ขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายประทีปในข้อหาฉ้อโกงและออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่งฟ้องร้องนายประทีปเป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.390/2566 ของศาลจังหวัดราชบุรี ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นถึงเจตนาของผู้ถูกกล่าวหาว่าเข้าใจโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิตามสัญญาเงินกู้
การยื่นรายการทรัพย์สินในส่วนของสัญญาเงินกู้ฉบับดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้อง และไม่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินสำหรับรายการนี้
@กรณีพระเครื่องดัง 2 องค์ แจ้ง ป.ป.ช.หลายครั้ง
ส่วนรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลกพิมพ์อกนูนใหญ่ ที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 โดยขอใช้เอกสารเดิมที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อปี 2556 แต่พระเครื่องที่นำมาให้ผู้ร้องตรวจสอบเป็นคนละองค์กับพระเครื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบนั้น
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า เมื่อการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องสมัยที่ 3 กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่อง 2 องค์ ตามคำร้องในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย ระบุราคา 2,500,000 บาท และลำดับที่ 23 คือ พระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ระบุราคา 3,500,000 บาท โดยขอใช้เอกสารชุดเดิมทั้งหมด จึงฟังได้ว่าพระเครื่องทั้งสององค์ดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 2
และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3 ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่องทั้งสององค์ดังกล่าวในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 และ 23
@ ‘อุปกิต’ยันเคยให้ยืมใส่ระหว่างสมรส
และในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีพันจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 กับกรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระเครื่องทั้งสององค์ดังกล่าวในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 และ 23 เช่นกัน โดยระบุหมายเหตุว่า ขอใช้เอกสารประกอบร่วมกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง
และข้อเท็จจริงได้ความจากนายอุปกิต ปาจรียางกูร ซึ่งผู้ร้องและผู้ถูกกล่าวหาต่างอ้างเป็นพยานร่วมกันว่าในระหว่างสมรสนายอุปกิตเคยให้ผู้ถูกกล่าวหายืมใส่พระเครื่อง 3 องค์ คือ พระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์เส้นด้ายพระไพรีพินาศ และพระนางกำแพง และนายอุปกิตเป็นเจ้าของพระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ตามภาพถ่ายหมาย ร.27แผ่นที่ 0729 และแผ่นที่ 0728 ที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ จากถ้อยคำของนายอุปกิตรับฟังได้ถึงความมีอยู่จริงของพระเครื่อง 2 องค์ที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ส่วนพระเครื่องที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาให้ผู้ร้องตรวจสอบทั้งสององค์นายอุปกิตให้ถ้อยคำว่าเคยให้ผู้ถูกกล่าวหายืมใส่ระหว่างสมรส
และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในระหว่างสมรสและในวาระการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องทุกครั้ง และจากที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำว่า หลังจากจดทะเบียนหย่าเมื่อพระเครื่องเป็นสินสมรสและเป็นสังหาริมทรัพย์ ผู้ถูกกล่าวหาครอบครองพระเครื่องทั้งสององค์เรื่อยมาผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ โดยแสดงรายการพระเครื่องที่ได้รับมาจากนายอุปกิต ผู้ถูกกล่าวหาเชื่อตามที่นายอุปกิตประเมินราคา เพราะนายอุปกิตมีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องจึงใช้ราคาเดิมที่เคยยื่นต่อผู้ร้องและใช้ภาพถ่ายที่อยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเดิม และเมื่อผู้ร้องแจ้งข้อกล่าวหาและให้นำทรัพย์สินไปให้ตรวจสอบ
ผู้ถูกกล่าวหาได้นำพระเครื่อง 2 องค์ที่อยู่ในความครอบครองไปแสดง ส่วนจะเป็นองค์เดียวกับที่ยื่นไว้หรือไม่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ทราบ โดยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าหลังจากจดทะเบียนหย่านายอุปกิตเคยทวงถามพระเครื่องทั้งสององค์คืน เป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองเป็นเจ้าของพระเครื่องทั้งสององค์ที่อยู่กับตน และเป็นองค์เดียวกับพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย(กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง
ประกอบกับนายพิศาล เตชะวิภาค ผู้เชี่ยวชาญที่ผู้ร้องอ้างเป็นพยานได้ให้ความเห็นว่า คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้อยู่ในวงการพระเครื่อง ไม่เคยรู้เรื่องพระเครื่อง หากจะทราบว่าเป็นพระเครื่องออกวัดไหน พิมพ์ใด ต้องศึกษาเปรียบเทียบจากการดูภาพถ่ายพระเครื่องในหนังสือ เมื่อพิจารณาลักษณะของพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย(กรุใหม่) ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 1705 กับพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุเก่า)ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 1702 แล้ว ทั้งสององค์มีลักษณะเป็นเนื้อผง รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีขนาดใกล้เคียงกันมาก และเมื่อพิจารณาพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 0704 กับพระนางกำแพงหรือพระนางพญากำแพงเพชร ตามภาพถ่ายหมาย ร.26 แผ่นที่ 0703 ทั้งสององค์มีลักษณะรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมเหมือนกันแม้พระเครื่องแต่ละองค์จะมีรายละเอียดข้อแตกต่างกันหลายประการตามที่พยานผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็น
แต่คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องย่อมไม่อาจแยกแยะถึงข้อแตกต่างของพระเครื่องแต่ละองค์ได้เชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจมาโดยตลอดว่าพระเครื่อง 2 องค์ ที่ได้รับมาจากนายอุปกิตในระหว่างสมรสและอยู่ในความครอบครองเรื่อยมา คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ส้นด้าย (กรุใหม่) และพระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ที่ยื่นและอ้างไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตลอดมา โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าพระเครื่อง 2 องค์ ที่นำมาแสดงต่อผู้ร้องเป็นคนละองค์กับที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ
@ฟังไม่ได้ว่า มีเจตนแจ้งไม่ตรงในบัญชีฯ ป.ป.ช.
ทั้งได้ความจากนายอุปกิตว่า ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของผู้ถูกกล่าวหาต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 นายอุปกิตมอบหมายให้นายบุรินทร์เลขานุการเป็นผู้รวบรวมเอกสารเพื่อนำไปยื่นต่อผู้ร้องเอง เนื่องจากนายอุปกิตกำลังจะหย่ากับผู้ถูกกล่าวหา ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของผู้ถูกกล่าวหาต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 จึงมีการแสดงรายการพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย(กรุใหม่) และ พระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ ในรายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 22 และ 23 ตามลำดับ โดยใช้เอกสารชุดเดิมที่เคยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้อง
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาและนายอุปกิตจดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 ข้อเท็จจริงยังไม่พอรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหารู้ว่าพระเครื่อง 2 องค์ ที่อยู่ในความครอบครองหลังจากจดทะเบียนหย่า คือพระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุเก่า) และพระนางกำแพงหรือพระนางพญากำแพงเพชรเมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ตามเอกสารหมาย ร.6 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินว่ามีทรัพย์สินรวม 169,666.795.97 บาท มีหนี้สินรวม 29,731,411.89 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 139,935,384.08 บาท และระบุที่ดิน ภ.บ.ท. 5 จำนวนหลายแปลงสำหรับการระบุที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องคดีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 แสดงให้เห็นถึงเจตนาในการแสดงรายการพระเครื่อง 2 องค์ ตามคำร้องว่าผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจโดยสุจริตว่าพระเครื่อง 2 องค์ ที่อยู่ในความครอบครองของตน คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย (กรุใหม่) และสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่ จึงระบุในหมายเหตุว่า ใช้ร่วมกับกรณีพ้นจากตำแหน่งปี 2556 และเมื่อผู้ร้องแจ้งข้อกล่าวหาและให้นำทรัพย์สินไปแสดง ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้นำพระเครื่อง 2 องค์ ไปให้ผู้ร้องตรวจสอบโดยไม่รู้ว่าเป็นคนละองค์กับพระเครื่องที่แสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาแสดงรายการพระเครื่องไม่ตรงกับที่มีอยู่จริงและระบุราคาพระเครื่องสูงกว่าความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ร้อง กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้อง และไม่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินสำหรับรายการนี้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนากระทำความผิดตามที่ผู้ร้องกล่าวหาตามคำร้องดังที่ได้วินิจฉัยมาเป็นลำดับข้างต้น ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีความผิดตามคำร้อง
พิพากษายกคำร้อง. (คดีหมายเลขแดงที่ อม.25/2566)