"...กล่าวสำหรับ นายอนุชา นาคาศัย พี่ชาย นายอนุสรณ์ เหตุผลที่ถูกตีตกข้อกล่าวหาไป เป็นเพราะว่า แม้จะมีคำให้การจากพยานว่า นายอนุชา มักจะเข้ามาก้าวก่าย สั่งการในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อบจ.ชัยนาท และมักจะเข้ามาดูการฝึกซ้อม รวมถึงเคยมีการสั่งให้ปรับปรุงสนามด้วย แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่านายอนุชา มีส่วนรวมในการกระทำความผิดด้วย..."
นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชัยนาท
ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีการอนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณ หมวดเงินอุดหนุนสนับสนุนสมาคมกีฬาจังหวัดชัยนาท จำนวน 3 สำนวน
แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า นายอนุสรณ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาตามกฎหมายมาตราใด และมีผู้เกี่ยวข้องรายอื่นที่ถูกชี้มูลความผิดด้วยหรือไม่
คือ ข้อมูลสำคัญที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลเป็นทางการ ว่า 1 ใน 3 สำนวนคดีที่ นายอนุสรณ์ นาคาศัย ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดครั้งนี้ มีกรณีการอนุญาตให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี หรือสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล ใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 จนถึงเดือนธันวาคม 2559 โดยไม่คิดค่าสาธารณูปโภค และใช้งบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 จนถึงปีงบประมาณ 2559 ในการปรับปรุง ซ่อมแซม บำรุงสนามกีฬาจังหวัดชัยนาท และก่อสร้างอัฒจันทร์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. หรือสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล เป็นเหตุให้ อบจ.ชัยนาท ได้รับความเสียหาย รวมอยู่ด้วย
@ เอื้อใช้สนามกีฬาจว.นานหลายปี
ทั้งนี้ ในประเด็นเกี่ยวกับการอนุญาตให้สโมสรฟุตบอล ชัยนาท เอฟ.ซี หรือสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล ใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) ระหว่างปี 2554-2559 โดยไม่คิดค่าสาธารณูปโภค นั้น ในชั้นไต่สวนข้อเท็จจริง มีข้อมูลปรากฏว่า ในระหว่างปี 2554 -2559 นายอนุสรณ์ ได้อนุญาตให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล) เข้าใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) เพื่อฝึกซ้อมและใช้เป็นสนามทีมเหย้าสำหรับการแข่งขันฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบดูแลของ อบจ.ชัยนาท ตามบันทึกข้อตกลงการใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท ระหว่างอบจ.ชัยนาท และสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. จำนวน 6 ฉบับ ขณะที่นายอนุสรณ์ ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมสโมสฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. ตั้งแต่ช่วงปี 2552
จากการตรวจสอบพบว่า สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. ได้ก่อตั้งขึ้นโดยสมาคมกีฬาจังหวัดชัยนาท ต่อมาได้จดทะเบียนเป็นบริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด เพื่อบริหารจัดการสโมสรฟุตบอล เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2564 มีนางศศิธร อยู่ประยงค์ น้องสาวของนายอนุสรณ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ส่วนนายอนุสรณ์ ก็ยังคงรับตำแหน่งผู้จัดการสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. จนถึงปี 2557
ขณะที่ การอนุญาตให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. เข้าใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทดังกล่าว มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าสาธารณูปโภคที่ อบจ.ชัยนาท ต้องรับผิดชอบ ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าอินเทอร์เน็ต
แต่ อบจ.ชัยนาท ไม่ได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี.แต่อย่างใด
ทั้งที่ สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ชี. มีการจำหน่ายราคาบัตรเข้าชมการแข่งขันและจำหน่ายของที่ระลึกเมื่อมีการใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทสำหรับแข่งขันเป็นทีมเหย้า ประมาณ 17-19 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ของบริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด
ประกอบกับตามข้อบังคับของสมาพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFC)มีข้อบังคับให้สนามฟุตบอลที่จะใช้ในการแข่งขันต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยจึงต้องมีการปิดสนามก่อนการแข่งขันจริงเป็นเวลา 1-2 วัน การเข้าใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทของสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. จึงทำให้ประชาชนขาดโอกาสในการเข้าใช้สนามกีฬา
@ เปิดคำชี้แจง 'อนุสรณ์'
เบื้องต้น ในชั้นไต่สวน นายอนุสรณ์ ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า เหตุผลที่ไม่ได้เรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคที่เกิดขึ้นจากสโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. เนื่องจากอนุญาตให้สโมสรฯ ใช้สนามดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมกีฬาภายในจังหวัด และอบจ.ชัยนาทไม่ได้มีระเบียบหรือข้อกฎหมายใดในการเรียกเก็บค่าธรรมนียมการใช้สนามมาก่อน ส่วนการที่สโมสรฯ จดทะเบียนเป็นบริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด ก็เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของข้อบังคับของสมาพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFC) เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อแสวงหากำไร ขณะที่ ผลประกอบการของบริษัทชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด ก็ขาดทุนมาตลอด และการใช้สนามในการฝึกซ้อมฟุตบอลเป็นการใช้สนามที่ 2 ไม่ใช่สนามที่ 1 จึงไม่ทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้งาน
อย่างไรก็ดี คณะไต่สวนฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ อบจ.ชัยนาท ไม่มีระเบียบข้อกฎหมายให้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการใช้สนามมาก่อน แต่เมื่อบริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด มีรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันและจำหน่ายของที่ระลึก เมื่อมีการเข้าใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทเป็นสนามสำหรับการแข่งขันและมีการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา และอินเทอร์เน็ต ทั้งในการใช้สนามกีฬาสำหรับการฝึกซ้อมและการแข่งขันเกิดขึ้น อบจ.ชัยนาท ต้องเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับค่าธรรมเนียมการใช้สนามกีฬา ซึ่งค่าไฟฟ้า น้ำประปา และอินเทอร์เน็ต ที่ อบจ.ชัยนาทต้องชำระอันเกิดจากการใช้สนามของสโมสรฟุตบอลชัยนาทฯนั้น เป็นค่าเสียหายที่ อบจ.ชัยนาทได้รับ จึงจำต้องเรียกเก็บจากผู้ใช้
@ หลักฐาน สตง.มัด
นอกจากนี้ ยังปรากฎข้อมูลว่า หลังจากที่สำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดชัยนาทได้เข้าตรวจสอบการใช้งบประมาณของ อบจ.ชัยนาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 และแจ้งให้ อบจ.ชัยนาททราบ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายหมวดค่าสาธารณูปโภค พบว่า มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณหมวดค่าสาธารณูปโภคที่ใช้ในสนามกีฬาจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555 ถึงปี 2558 รวมเป็นเงิน 6,964,605.71 บาท
อบจ.ชัยนาท จึงได้เรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคดังกล่าวกับ บริษัท ชัยนาท เอฟ.ชี. จำกัด
แต่ก็ยังไม่ได้รับชำระ
จนกระทั่ง อบจ.ชัยนาท ได้มีการฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดชัยนาทเป็นคดีแพ่งให้บริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด ชำระค่าสาธารณูปโภคที่เกิดขึ้นจากการใช้สนามกีฬาดังกล่าว และในที่สุดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ก็ได้ตกลงประณีประนอมยอมความชำระค่าสาธารณูปโภคดังกล่าว
กรณีนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าว อบจ.ชัยนาท ต้องเรียกเก็บจากสโมสรฟุตบอลชัยนาทฯ แต่อบจ.ชัยนาท โดยนายอนุสรณ์ ไม่ได้เรียกเก็บ กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนับตั้งแต่ปี 2554 ที่มีการทำบันทึกข้อตกลงการใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทฉบับที่ 1 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 ที่นายอนุสรณ์ ได้รับคำสั่งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่เคยมีการเรียกให้บริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด ชำระค่าสาธารณูปโภคดังกล่าวแต่อย่างใด
คำชี้แจงของ นายอนุสรณ์ จึงฟังไม่ขึ้น
@อนุสรณ์ นาคาศัย
สำหรับประเด็นกรณีการปิดสนามก่อนการแข่งขัน 1-2 วัน ตามข้อบังคับของสมาพันธ์ฟุตบอลอาเซียน(AFC) นั้น มีคำชี้แจงจากผู้ถูกกล่างหาบางรายว่า ในความเป็นจริง อบจ.ชัยนาท ไม่ได้มีการปิดสนามแต่อย่างใด พิจารณาแล้วเห็นว่าตามข้อบังคับของสมาพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFC) จะต้องมีการปิดสนามก่อนการแข่งขัน 1-2 วัน และมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเข้าตรวจก่อนการแข่งขันว่ามีการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับหรือไม่ หากไม่มีการปฏิบัติตามข้อบังคับก็จะถูกตัดสิทธิมิให้จัดการแข่งขันครั้งนั้น สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. ไม่เคยถูกตัดสิทธิการแข่งขันจากการละเมิดกฎดังกล่าว และเมื่อมีการใช้สนามฟุตบอลในสนามกีฬาจังหวัดชัยนาทสำหรับการฝึกซ้อมและแข่งขันแล้วประชาชนก็ย่อมไม่สามารถใช้สนามฟุตบอลดังกล่าวได้
คำชี้แจงผู้ถูกกล่าวหาประเด็นว่าประชาชนไม่ได้เสียโอกาสในการเข้าใช้สนามจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ชี้แจงว่าการใช้สนามในการฝึกซ้อมฟุตบอลเป็นการใช้สนามที่ 2 ไม่ใช่สนามที่ 1 จึงไม่ทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้งาน นั้น
จากการไต่สวนพบว่า ในบันทึกข้อตกลงการใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาทไม่ได้มีการแบ่งแยกว่าเป็นการใช้สนามที่ 1 หรือ 2 และมีพยานให้ถ้อยคำว่าในการฝึกซ้อมในช่วงที่เกิดเหตุเป็นการใช้สนามที่ 1 ไม่ใช่สนามที่ 2 ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สนามกีฬาที่ 1 และ 2 ก็ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าใช้สนามกีฬาดังกล่าวได้ ซึ่งจากการไต่สวนปรากฏว่าสโมสรฟุตบอลชัยนาทฯ ได้ใช้สนามที่ 2 เป็นสนามหลักในการฝึกซ้อมภายหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้ว
คำชี้แจงดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
เบื้องต้น คณะกรรมการไต่สวนฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชัดใหญ่ เห็นว่าการกระทำของนายอนุสรณ์ มีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 127/1 และการกระทำดังกล่าวเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหนาที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหนาที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบรอยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79
@ ตีตกข้อกล่าวหาเอื้อ ปรับปรุง ซ่อมแซม สนามฯ
ส่วนประเด็นเรื่องการตั้งงบประมาณก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซม สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท เอื้อประโยชน์ให้บริษัท ชัยนาท เอฟ ซี. จำกัด หรือไม่ นั้น จากการไต่สวนข้อเท็จจริงมีข้อมูลว่า อบจ.ชัยนาทรับโอนภารกิจดูแลสนามกีฬาจังหวัดชัยนาท มาจากการกีฬาแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2548 ซึ่งสภาพสนามไม่พร้อมใช้งานเป็นที่ราบเนินเขาขรุขระมีเศษหินเป็นก้อนขนาดต่าง ๆ จำนวนมาก มีพงหญ้าสูงปกคลุมบริเวณรอบสนาม และมีอัฒจันทร์เพียงด้านเดียว
อบจ.ชัยนาท มีหน้าที่ในการดูแลรักษาสนามกีฬาจังหวัดชัยนาทให้เหมาะสมแก่การใช้งานและได้มีการตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2554, 2556 , 2557 และ 2559 สำหรับการ ก่อสร้างอัฒจันทร์ ปรับปรุงพื้นสนามหญ้า เพื่อพัฒนาปรับปรุงสนามกีฬาให้สามารถใช้งานได้ดีตามภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลในฐานะผู้ดูแลสนามกีฬาตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 45 การตั้งงบประมาณดังกล่าวเป็นไปตามแผนพัฒนา 3 ปีของอบจ.ชัยนาท การตั้งงบประมาณไม่ปรากฎพยานหลักฐานเพียงพอว่าได้กระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี. จำกัด
เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
@ 'อนุชา นาคาศัย' รอด
รายงานข่าวแจ้งว่า ในชั้นไต่สวนคดีนี้ รายชื่อผู้กล่าวหานอกจากนายอนุสรณ์ ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีก 9 ราย คือ
1. บริษัท ชัยนาท เอฟ.ซี.จำกัด 2. นางศศิธร อยู่ประยงค์ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผู้พันบริษัทฯ ทั้ง 2 ราย มีมูลความผิดฐานสนับสนับเจ้าพนักงานรัฐกระทำความผิด
3. นายคงกฤช อยู่ประยงค์ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทฯ 4. นายบุญญฤทธิ์ ณ วังขนาย กรรมการผู้มีอำนาจผู้พันลงนามบริษัทฯ 5. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานสโมสรฟุตบอล ชัยนาท เอฟ.ซี.ด้วย 6. นายวันชัย ฮุ้นสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอล 7. นายอาคม เหล่าดำรงกูล ผู้จัดการทั่วไปสโมสรฟุตบอล 8 นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย รองประธานสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล ไม่มีมูลความผิดเห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
9. นายภราดา นาคาศัย รองนายกอบจ.ชัยนาท ไม่มีมูลความผิดทางอาญา แต่เป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหนาที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหนาที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบรอยของประชาชนตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79
กล่าวสำหรับ นายอนุชา นาคาศัย พี่ชาย นายอนุสรณ์ เหตุผลที่ถูกตีตกข้อกล่าวหาไป เป็นเพราะว่า แม้จะมีคำให้การจากพยานว่า นายอนุชา มักจะเข้ามาก้าวก่าย สั่งการในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อบจ.ชัยนาท และมักจะเข้ามาดูการฝึกซ้อม รวมถึงเคยมีการสั่งให้ปรับปรุงสนามด้วย
แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่านายอนุชา มีส่วนรวมในการกระทำความผิดด้วย
@ อนุชา นาคาศัย
ทั้งหมดนี้ คือ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคดีสำนวนแรก กรณีการอนุญาตให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี หรือสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล ใช้สนามกีฬาจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 จนถึงเดือนธันวาคม 2559 โดยไม่คิดค่าสาธารณูปโภค และใช้งบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 จนถึงปีงบประมาณ 2559 ในการปรับปรุง ซ่อมแซม บำรุงสนามกีฬาจังหวัดชัยนาท และก่อสร้างอัฒจันทร์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้สโมสรฟุตบอลชัยนาท เอฟ.ซี. หรือสโมสรฟุตบอลชัยนาท ฮอร์นบิล เป็นเหตุให้ อบจ.ชัยนาท ได้รับความเสียหาย ที่นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายก อบจ.ชัยนาท ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ในรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลเป็นทางการเฉพาะในส่วนของ นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายก อบจ.ชัยนาท ว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดเป็นทางการ
ส่วนมติผลการชี้มูลผู้ถูกกล่าวหารายอื่น จะเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการไต่สวนหรือไม่ คงต้องรอฟังการแถลงข่าวเป็นทางการอีกครั้ง
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด นายอนุสรณ์ และผู้ถูกกล่าวหารายอื่นที่ถูกชี้มูลความผิดด้วย ยังมีสิทธิ์ต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก
ที่ผ่านมา นายอนุสรณ์ ได้ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง พร้อมระบุว่า ไม่ใช่การทุจริตหรือเอื้อผลประโยชน์แต่อย่างใด