10 ข่าวเด่นแห่งปี 2565 'อิศรา'ปารีณา จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ-ป.ป.ช.ชี้มูลทรงชัย ทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง-สราวุธ คดีฮั้วจัดจ้างปรับปรุงศาล-ญ.คนสนิทปลัดกระทรวงปริศนารับกระเป๋าหรูที่ลอนดอน-ป.ป.ช.ชี้มูล นายสุนทร พร้อมลูก ปมรุกป่าเขาใหญ่-ป.ป.ช. ชี้มูล 2 นายกปากน้ำ-'อำนวย-ชนม์สวัสดิ์' คดีเงินอุดหนุนวัด- 'ผู้กำกับโจ้' คดีร่ำรวยผิดปกติ-วันชัย อนุมัติเงินสะสมท.บางแก้ว-เมีย ส.ส.อุดรฯ เพื่อไทย ถือหุ้นบริษัท ตู้ห่าว-อธิบดีกรมอุทยานฯ คดีเรียกรับเงินวิ่งเต้นตำแหน่ง
ในรอบปี 2565 ที่ผ่านมา มีข่าวคราวเกี่ยวกับการทุจริต หรือการประพฤติมิชอบที่กล่าวหาบรรดานักการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายคดี สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม 10 ข่าวเด่นในรอบปี 2565 มาให้สาธารณชนทราบความคืบหน้า ดังนี้
1.กรณี ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 'ปารีณา ไกรคุปต์' อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพปชร. จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ
ประเด็นนี้ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหญ่ ได้มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ใน 2 ประเด็น คือ
1.กรณีการเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ 7.7 ล้านบาท ซึ่งจากการไต่สวนเจ้าของเช็คเงินกู้ให้การปฏิเสธ เป็นการปล่อยกู้ตีเช็คเปล่าค้ำประกัน ไม่มีการกู้กันจริง แต่คาคว่านำเงินไปใช้เพื่อลงเลือกตั้ง โดยบุคคลที่เป็นลูกหนี้ตามที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน คือ นายประทีป มีพรบูชา นายกเทศมนตรีตำบลคลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และ2.พระสมเด็จบางขุนพรหม 2.5 ล้านบาท พระนางพญา ราคา 3.5 ล้านบาท ที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน มีการนำพระอื่นมาแสดงแทน โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด เมื่อต้นเดือน เม.ย. 2565 ศาลฎีกาพิพากษาว่า น.ส.ปารีณา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกา สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี มีผลให้ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามรัฐธรรมนูญ นับเป็นการปิดฉากบทบาทในฐานะนักการเมืองของ น.ส.ปารีณา (อ่านประกอบ : ป.ป.ช.ฟัน 'ปารีณา'จงใจแจ้งบัญชีเท็จ ปมเจ้าหนี้เงินกู้ 7.7ล.-แสดงราคาพระดังไม่มีอยู่จริง)
2. กรณี ป.ป.ช. ฟ้องคดีกล่าวหา 'ทรงชัย นกขมิ้น' นายก อบต.ราชาเทวะ -พวก ทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิงกู้ภัย 39 ล้าน ปี 2555
ประเด็นนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติให้สำนักคดี ร่างคำฟ้องคดีกล่าวหาพร้อมขอให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ของ นายทรงชัย นกขมิ้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ กับพวก ทุจริตประกวดราคาซื้อรถยนต์ดับเพลิงกู้ภัยแบบกระเช้าบันได จำนวน 1 คัน วงเงิน 39,950,000 บาท ของ อบต.ราชาเทวะ ในช่วงปี 2555 ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาไปเมื่อกลางเดือน ก.ค. ปี 2564 หลังอัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้เป็นทางการ
โดยมีมติชี้มูลความผิดทางอาญา นายทรงชัย นกขมิ้น กับพวก ในคดีทุจริตประกวดราคาซื้อรถยนต์ใช้งานประเภทต่าง ๆ จำนวน 3 สำนวน คือ 1. คดีประกวดราคาซื้อรถยนต์ดับเพลิงกู้ภัยแบบกระเช้าบันได จำนวน 1 คัน วงเงิน 39,950,000 บาท ของ อบต.ราชาเทวะ ในช่วงปี 2555 2. คดีจัดซื้อรถกู้ภัยส่องสว่าง 1 คัน วงเงิน 15 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ 2/2550 ลงวันที่ 6 มี.ค. 2550 และ3. คดีการจัดซื้อรถบรรทุกน้ำ จำนวน 4 คัน วงเงิน 20 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ 2/2551 ลงวันที่ 13 ส.ค. 2551 ทั้ง 3 คดีระบุพฤติการณ์เดียวกัน คือ การกระทำความผิดในการกำหนดคุณสมบัติกีดกันเอกชนรายอื่นไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันเสนอราคา และเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นผูชนะงาน
ความคืบหน้ากรณีนี้ ทางคดีอาญา การจัดซื้อรถดับเพลิง 33.9 ล้านบาท นั้น เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2565 ศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งประทับรับฟ้อง และให้ประกันตัว นายทรงชัย และพวกทุกราย โดยจำเลยหลัก ๆ ในคดีนี้ ตั้งหลักทรัพย์ค้ำประกันไว้คนละประมาณ 4 แสนบาท ส่วนคำร้องของ ป.ป.ช.ให้นายทรงชัย หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกอบต.ราชาเทวะ ศาลฯ ให้ยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาของนายทรงชัย ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับ อบต.
ซึ่งในกรณีนี้ล่าสุด ทาง ป.ป.ช. จะทำเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พิจารณาเรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายทรงชัยอีกครั้ง เพราะขณะนี้ศาลฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีนายทรงชัยเป็นทางการแล้ว คงต้องรอติดตามต่อไปในปี 2566 (อ่านประกอบ: อสส.สั่งไม่ฟ้อง-ป.ป.ช.ลุยเอง! ลงมติร่างคำฟ้องกล่าวหา 'ทรงชัย-พวก' ซื้อรถดับเพลิง 39 ล.)
อย่างไรก็ดี คดีนี้ ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนให้ นายทรงชัย นกขมิ้น ไม่ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่นายก อบต.ราชาเทวะ ชั่วคราวไปแล้ว
3.กรณี ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวนอาญากราวรูด ‘สราวุธ เบญจกุล’ กับพวกเกือบ 20 ราย คดีฮั้วจัดจ้างปรับปรุงศาลพระโขนง-มีนบุรี-ตลิ่งชัน
ประเด็นนี้เป็นข่าวสืบเนื่องจากปี 2564 โดยต้นเดือน ต.ค. 2565 ป.ป.ช.มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนคดีฮั้วจัดจ้างปรับปรุงศาลพระโขนง-มีนบุรี-ตลิ่งชัน ของนายสราวุธ เบญจกุล’ กับพวกเกือบ 20 ราย โดยมี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และกรรมการ ป.ป.ช.อีกรายหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นผู้รับผิดชอบสำนวน สำหรับคดีดังกล่าว สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้าตรวจสอบการจัดจ้างการปรับปรุงศาลจังหวัดทั้ง 3 แห่งซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกพบว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนบางรายโดยไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เนื่องจากเอกชนรายดังกล่าวเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ก่อนที่จะมีการประกาศให้มีการมีการจัดจ้างและเป็นคู่สัญญากับสำนักงานศาลยุติธรรม หลังจากนั้น สตง.ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนต่อ
นอกจากนั้นยังมีการร้องเรียนกรณีดังกล่าวต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.)และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยร้ายแรงนายสราวุธ จนกระทั่งมีมติให้ไล่นายสราวุธออกจากราชการ
ซึ่งมีการนำสำนวนทั้งสองเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. จนมีมติให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหา นอกจากนายสราวุธ ในฐานะผู้อนุมัติให้มีการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ยังมีผู้ถูกกล่าวหาอีก 18 ราย ทั้งผู้พิพากษา ข้าราชการสำนักงานศาลยุติธรรม และบริษัทเอกชนที่เข้ายื่นเสนอราคา การไต่สวนเป็นอย่างไรคงต้องรอติดตามต่อไปในปี 2566 (อ่านประกอบ : ป.ป.ช.ตั้งไต่สวน‘สราวุธ เบญจกุล’พวกเกือบ20ราย คดีฮั้วปรับปรุงศาลพระโขนง-มีนบุรี-ตลิ่งชัน)
4.กรณีหญิงสาวคนสนิทปลัดกระทรวงปริศนา รับของขวัญ'กระเป๋าหรู'ที่ลอนดอน
ประเด็นนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก สำนักข่าวอิศรา ได้รับแจ้งเบาะแสจากคนในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับคลิปวิดีโอของ ยูทูปเบอร์สาวรายหนึ่ง ที่บันทึกเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวจากปารีส มาลอนดอน ซึ่งถูกเผยแพร่ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2565 ปรากฏภาพปลัดกระทรวงปริศนารายหนึ่ง ร่วมคณะไปนั่งรับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารหรูในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีหญิงสาวรายหนึ่งนั่งเคียงข้าง และมีนักธุรกิจไทยชื่อดังนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย หลังจากนั้น นักธุรกิจรายนี้ ได้นำกระเป๋ายี่ห้อคริสเตียนดิออร์ รุ่น MEDIUM DIOR BOOK TOTE มามอบให้กับหญิงสาวรายนี้ เพื่อแสดงความยินดีคล้ายการจัดงานฉลองวันเกิดให้ ก่อนที่ ปลัดกระทรวงปริศนารายนี้ จะเข้าไปร่วมแสดงความยินดีกับหญิงสาวด้วยการการโอบ กอดคอ และถ่ายภาพร่วมกัน
ทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตถึงสถานะความสัมพันธ์ ระหว่าง ปลัดกระทรวงปริศนากับหญิงสาวรายดังกล่าว และการที่นักธุรกิจไทยชื่อดังรายนี้ มอบของขวัญเป็นกระเป๋าหรูมูลค่าเป็นแสนบาทให้กับหญิงสาวรายนี้ ที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปลัดกระทรวงฯผู้นี้ จะถือเป็นเรื่องที่ฝ่าฝืนกฏหมายทรัพย์สินข้อใดของ ป.ป.ช.หรือไม่ โดยเฉพาะกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่รัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท
ก่อนที่สำนักข่าวอิศรา จะขยายผลตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่า หญิงสาวคนสนิทรายนี้ ได้มีการแจ้งเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็นนามสกุลเดียวกับปลัดกระทรวงปริศนา โดยปลัดกระทรวงปริศนารายนี้ ได้ไปแจ้งจดทะเบียนรับหญิงสาวคนสนิทรายนี้ เป็นบุตรบุญธรรม ที่อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งตามข้อมูลทางกฏหมาย การที่ปลัดกระทรวงปริศนารายนี้ ได้ไปแจ้งจดทะเบียนรับหญิงสาวคนสนิทรายนี้ เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งปัจจุบันหญิงสาวคนสนิท ปัจจุบันอายุ 39 ปี ซึ่งเป็นช่วงบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไปแล้ว จึงอาจเข้าข่ายไม่จำเป็นต้องแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบด้วย
จากนั้นไม่นาน ปลัดปริศนารายนี้ ได้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แต่ยื่นทรัพย์สินเฉพาะตัวเองเท่านั้นไม่มีทรัพย์สินของคนอื่นซึ่งรวมไปถึงอดีตภรรยาและหญิงคนสนิทแต่อย่างใด ซึ่งต่อมา นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. แจ้งว่ากรณีที่ปลัดฯ แจ้งว่าไม่มีภรรยา ไม่มีลูกในบัญชีทรัพย์สินแล้ว ทาง ป.ป.ช.คงต้องขอตรวจสอบในส่วนของเอกสารการหย่าร้างด้วย เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องทรัพย์สินของหญิงสาวคนสนิทนั้นคงต้องให้เขาชี้แจงด้วยว่าจะเป็นใคร อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบคนในคลิปคงต้องรอไปก่อน เพราะต้องตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินของปลัดปริศนารายนี้ที่ยื่นล่าสุดก่อนว่าครบถ้วนสมบูรณ์อย่างไร คงต้องรอติดตามต่อไปในปี 2566 (อ่านประกอบ : หญิงสาวคนสนิทปลัดกระทรวงปริศนา รับของขวัญ'กระเป๋าหรู'ที่ลอนดอนฝ่าฝืนกม.ป.ป.ช.หรือไม่'กระเป๋าหรู'ที่ลอนดอนฝ่าฝืนกม.ป.ป.ช.หรือไม่)
นอกจากข่าวนี้แล้ว ในกลุ่มข่าวที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ยังมีกรณี นางศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สวมใส่ นาฬิกาหรูหลายเรือน และกระเป๋าแบรนด์เนม ต่อสาธารณะ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่สำนักข่าวอิศรา ติดตามตรวจสอบจนนำไปสู่การสอบสวนของ ป.ป.ช.ด้วย
5.ป.ป.ช.ชี้มูล นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมลูกสาว ปมรุกป่าเขาใหญ่ พร้อมข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง
ประเด็นนี้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลนายสุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี และ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ แกนนำพรรคภูมิใจไทย กับพวก กรณีบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในเขต จ.ปราจีนบุรี พร้อมพวกรวม 10 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน กรณีสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐออกโฉนดที่ดินบุกรุกป่าเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ฐานมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ฐานสนับสนุนการกระทำ
เบื้องต้นจากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้ของนายสุนทร ยื่นต่อ ป.ป.ช. นายสุนทรแจ้งว่ามีที่ดิน 220 แปลง เนื้อที่ 4,205-3-00.5 ไร่ มูลค่า 631,460,340 บาท (อยู่ใน จ.สระแก้ว 4 แปลง ที่เหลืออยู่ใน จ.ปราจีนบุรี) คู่สมรสถือครอง 5 แปลง เนื้อที่ 110-2-03 ไร่ มูลค่า 9,000,000 บาท (อยู่ใน จ.ปราจีนบุรีทั้งหมด) รวมทั้งสิ้น 225 แปลง เนื้อที่ 4,316-1-03.5 ไร่ มูลค่า 640,460,340 บาท ในจำนวนที่ดิน 220 แปลงของนายสุนทรที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. มีโฉนดเลขที่ 41159 แปลงปัญหาถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าออกโดยมิชอบรวมอยู่ด้วยเนื้อที่ 27-2-54.5 ไร่ ราคา 19,350,000 บาท ขณะที่ นางกนกวรรณ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งว่าเป็นเจ้าของที่ดิน รวม 295 แปลง (รวมของคู่สมรส 12 แปลง) มูลค่า 1,321,232,850 บาท
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 ได้ยื่นฟ้อง นายสุนทรฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 151 และประมวลกฎหมายที่ดิน และนางกนกวรรณ ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 โดยศาลฯ มีคำสั่งประทับฟ้อง แต่ทั้งคู่ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว (อ่านประกอบ: ป.ป.ช.ชี้มูล 'กนกวรรณ' รมช.ศธ. ผิดข้อหารุกป่าเขาใหญ่ พ่วงฝ่าฝืนจริยธรรม)
6.กรณี ป.ป.ช. ชี้มูล 2 นายก-'อำนวย-ชนม์สวัสดิ์' พร้อมพวก 11 ราย คดีเงินอุดหนุนวัดใน จ.สมุทรปราการ
ประเด็นนี้ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหมและนายอำนวย รัศมิทัต อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ กับพวก รวม 11 ราย ร่วมกันพิจารณาและอนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปีงบประมาณ 2554 - 2556 โดยมิชอบ
ความเป็นมาของคดีนั้นสืบเนื่องจากที่ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหา นายชนม์สวัสดิ์กับพวก ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จ.สมุทรปราการ ระหว่างปีงบประมาณ 2554 – 2556 รวมจำนวน 68 โครงการ เป็นเงิน 836,129,125 บาท ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จ.สมุทรปราการช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน 20 โครงการ วงเงินงบประมาณ 338,753,750 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายปกรณ์ เนตรประภา ซึ่งมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหารของ อบจ.สมุทรปราการ จะแสดงตัวเป็นตัวแทนหรือคนของผู้บริหารอบจ.สมุทรปราการไปประสานงานติดต่อกับวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อก่อสร้างเมรุหรือศาลาการเปรียญ มีการจัดทำคำขอ แบบแปลนและประมาณการราคานำไปให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ลงนาม และได้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนำไปยื่นให้กับอบจ.สมุทรปราการ
เมื่ออบจ.สมุทรปราการได้รับคำขอแล้ว นายอำนวย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกอบจ.สมุทรปราการในช่วงปี 2554 และนายชนม์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกอบจ.สมุทรปราการในช่วงปี 2555 - 2556 และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รีบเร่งตั้งงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เสนอและเห็นชอบโครงการเข้าแผนพัฒนาของอบจ.สมุทรปราการ โดยที่ไม่ทำการตรวจสอบรายละเอียดโครงการจนกระทั่งมีการอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่วัดตามวงเงินที่ขอมา เมื่อได้รับอนุมัติเงินแล้ว นายปกรณ์ จะแจ้งให้ทางวัดทราบล่วงหน้า เพื่อนัดหมายกับเจ้าอาวาสวัดให้ไปรับเช็คเงินอุดหนุน เมื่อทางวัดไปรับเช็คมาแล้ว ในวันเดียวกัน นายปกรณ์ จะร่วมกับเจ้าอาวาสหรือผู้แทนวัด นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารพร้อมกับเบิกเงินและมอบให้นายปกรณ์ เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของวงเงินที่ได้รับการอุดหนุน จากนั้นบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ฯ ซึ่งมีนายปกรณ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ จะได้เข้ามาเป็นผู้รับจ้างดำเนินงานตามโครงการที่ได้รับเงินอุดหนุน
ภายหลังเมื่อ ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่วัด และวัดได้รับเงินแล้ว นายชนม์สวัสดิ์ กับพวกกลับไม่ตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุน และการดำเนินงานในแต่ละโครงการว่าได้ดำเนินการเป็นไปตามแบบแปลนและประมาณการราคา คุ้มค่าและเหมาะสมกับงบประมาณที่อุดหนุนหรือไม่ การดำเนินโครงการแล้วเสร็จเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ทุกโครงการมีปัญหาจากการก่อสร้าง อันเกิดจากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา มีการจ้างช่วง ทิ้งงาน อีกทั้งการก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน รายการปริมาณงานและประมาณการราคา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อราชการ
อย่างไรก็ดี คดีนี้การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด ติดตามต่อไปในปี 2566 (อ่านประกอบ: ชี้มูล 2 นายก! ป.ป.ช.ฟัน'อำนวย-ชนม์สวัสดิ์' คดีเงินอุดหนุนวัด อบจ.ปากน้ำ)
7.กรณี ป.ป.ช.ชี้มูล 'ผู้กำกับโจ้' คดีร่ำรวยผิดปกติกว่า 1,000 ล้าน
ประเด็นนี้ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ หรือผู้กำกับโจ้ ที่ก่อเหตุใช้ถุงดำคลุมศีรษะนายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือ มาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติดโดยอ้างเพื่อเค้นข้อมูลจนเสียชีวิต ใน สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งปัจจุบันถูกศาลพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
เบื้องต้นจากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า รายการทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ที่ดินพร้อมบ้านพักอาศัย รถยนต์ และเงินที่ใช้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์หลายคัน ได้มาโดยไม่สัมพันธ์กับรายได้และเกินกว่าฐานะและรายได้ที่ได้รับจากราชการจะพึงมี จึงเป็นกรณีที่พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล ร่ำรวยผิดปกติ ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวม 32 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,358,121,750.80 บาท และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้อง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สิน ที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
ทั้งนี้อัยการสูงสุดสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามอำนาจ หน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 (อ่านประกอบ: ฉบับเต็ม! ป.ป.ช.ฟัน ผกก.โจ้ ร่ำรวยผิดปกติ1,358 ล้าน รถหรู 15 คัน เงินฝากเพียบ 1,197 ล.)
8.กรณี'วันชัย คงเกษม' อดีตผู้ว่าฯ จ.สมุทรปราการ เซ็นต์อนุมัติเทศบาลบางแก้วใช้เงินสะสม 807 ล้าน 10 โครงการรวด
ประเด็นนี้ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการลงนามอนุมัติให้เทศบาลเมืองบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ยกเว้นระเบียบการใช้เงินสะสม เพื่อดำเนินการโครงการต่างๆ 10 โครงการ จำนวนเงิน 807,360,000 บาท ของนายวันชัย คงเกษม อดีตผู้ว่าฯ จ.สมุทรปราการ ว่า เป็นการนำเสนอเรื่องที่รวดเร็วแบบผิดสังเกต ขณะที่แผ่นงานบางโครงการถูกตั้งข้อสังเกตว่าทำถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบที่กำหนดไว้หรือไม่ และถ้าสังเกตหลาย ๆ โครงการที่ขออนุมัติเงินสะสมไป มันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเลย ซึ่ง น.ส. พัชรากร กุลรัตนจินดา ปลัดเทศบาลและรักษาราชการแทนนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบางแก้วในขณะนั้น เป็นคนดำเนินการขออนุมัติเงินสะสมดังกล่าว
ต่อมา นายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบางแก้ว ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และได้สั่งระงับโครงการหมดทุกตัวแล้ว ปัจจุบันเทศบาลเมืองบางแก้วยังไม่ได้ใช้เงินสะสมในโครงการเหล่านี้ อีกทั้งเตรียมรวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อเตรียมแต่งตั้งกรรมการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องกับการเสนอเรื่องขออนุมัติยกเว้นระเบียบการใช้เงินดังกล่าว เนื่องจากได้รับทราบจากผู้อำนวยการกองต่างๆ ว่า เป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบการขอใช้งบประมาณ (อ่านประกอบ: 'ณัฐพงศ์' คืนเก้าอี้นายกเทศฯบางแก้วสั่งระงับโครงการเงินสะสม 807 ล. -จ่อตั้งกก.สอบปลัด)
9.กรณี เมีย ‘ศราวุธ เพชรพนมพร’ ส.ส.อุดรฯ พรรคเพื่อไทย ถือหุ้นในบริษัท ตู้ห่าว
ประเด็นนี้เริ่มจากกรณีข่าวดังของนายหาวเจ๋อ ตู้ หรือ ‘ตู้ห่าว’ กลุ่มทุนชาวจีน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดและร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย เเละ พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 ทางสำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบบริษัททั้งหมดในอาณาจักรของตู้ห่าว พบว่ามี 1 บริษัทที่ ภรรยาของ อดีต ส.ส. และเป็น บุตรสาวของอดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรี พรรคใหญ่ในรัฐบาลก่อน ร่วมถือหุ้นลำดับ 2
โดยบริษัทดังกล่าว มีชื่อว่า บริษัท เอฟเวอร์ ยูเนียน จำกัด ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ที่นำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท วันที่ 14 พ.ย.2565 ณ วันประชุมผู้ถือหุ้น วันที่ 24 ต.ค.2565 มีชื่อ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ถือหุ้นลำดับที่ 1 จำนวน 80,000 หุ้น นางนุดีพร เพชรพนมพร ถือหุ้นลำดับที่ 2 จำนวน 75,000 หุ้น (มีชื่อถือหุ้นตั้งแต่ปี 2557) นางวัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ (ภรรยานายตู้ห่าว) ถือหุ้น ลำดับ 3 จำนวน 20,000 หุ้น และ น.ส.สุชาดา มาศมิส ถือหุ้น ลำดับ 4 จำนวน 25,000 หุ้น รวมหุ้นทั้งหมด 200,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ทั้งนี้ นางนุดีพร เพชรพนมพร เป็นบุตรสาว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี และกับคุณหญิงวารุณี พรหมนอก และ เป็นภรรยา นายศราวุธ เพชรพนมพร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม นายศราวุธ ชี้แจงว่า หลังจากที่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้แล้วก็ปรากฏว่าภรรยามีหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าวจริง ซึ่งตนไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ก็ต้องขอเรียนเบื้องต้นก่อนว่าบริษัทนี้นั้นยังไม่ได้ทำธุรกิจอะไร และภรรยาตนก็ยังไม่มีรายได้จากตรงนี้แต่อย่างใด
อนึ่ง เกี่ยวกับกรณีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า ในส่วนนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ที่ถูกดำเนินคดีนั้น ปัจจุบันยังไม่มีคำพิพากษาว่า กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด นายชัยณัฐร์และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด จึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ (อ่านประกอบ: เปิด บอจ.5 ชื่อเมีย‘ศราวุธ เพชรพนมพร’ ส.ส.อุดรฯ ร่วมหุ้น บ.‘ตู้ห่าว’-แจงไม่เคยรับผล ปย.)
10.กรณี ป.ป.ช.-ตร.รวบตัวอธิบดีกรมอุทยานฯ คดีเรียกรับเงินวิ่งเต้นตำแหน่ง
สำหรับประเด็นทิ้งท้าย 2565 เป็นผลสืบเนื่องจาก ป.ป.ช. ได้รับแจ้งเบาะแส กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง สังกัด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อแลกกับการไม่ถูกโยกย้ายตำแหน่ง
โดยมีพฤติการณ์ คือ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้เรียกเก็บเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทั่วประเทศ โดยหากหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกเรียกเก็บไม่สามารถนำเงินมาจ่ายให้แก่อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้ก็จะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิมและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในพื้นที่ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนา จึงทำให้มีการวิ่งเต้นกับอธิบดีกรมอุทยานฯ เพื่อไม่ให้ตนเองถูกโยกย้ายรายละประมาณ 200,000-300,000 บาท นอกจากนี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ยังได้เรียกเก็บเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นรายเดือน เพิ่มเติมจากที่เรียกเก็บ
ซึ่งภายหลังอธิบดีถูกจับกุมแล้ว ได้ตรวจพบซองเงินสดพร้อมรายชื่อกลุ่มบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ในกรมอุทยานฯจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่าห้าล้านบาท อยู่ในบริเวณห้องอธิบดี เบื้องต้น นายรัชฎา ได้ประกันตัวชั่วคราว และในขณะนี้ทางตำรวจได้ออกหมายเรียก กลุ่มรายชื่อเจ้าหน้าที่ในกรมอุทยานฯ บนซองเงินวิ่งเต้นตำแหน่งแล้ว ผลการสืบสวนเป็นอย่างไร ต้องรอติดตามกันต่อในปี 2566 (อ่านประกอบ:เก็บหัวละ 2-3 แสน! แถลงพฤติการณ์ 'อธิบดีกรมอุทยานฯ' คดีเรียกเงินวิ่งเต้นแลกไม่โยกย้าย)
ทั้งหมดคือ 10 ข่าวเด่นในช่วงปี 2565 ที่บางกรณี ‘ปิดฉาก’ ลงไปแล้ว และอีก ‘หลายเรื่อง’ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น อยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่
ติดตามในปี 2566 กันต่อไป!