ทว่าในขณะที่มีความตื่นเต้นที่ประเทศจีนจะได้กลับไปสู่วิถีชีวิตดั้งเดิมก่อนการระบาดของโควิด มันก็มีแรงกดดันที่ค่อนข้างมหาศาลกับระบบสาธารณสุขของประเทศจีน โดยแพทย์ได้กล่าวว่าโรงพยาบาลหลายแห่งนั้นยังคงเผชิญกับภาวะท่วมท้นของผู้ป่วย ขณะที่พนักงานในสถานบริการจัดงานศพก็มีผู้ต้องการใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
ข่าวต่างประเทศที่หลายคนให้ความสนใจในช่วงสิ้นปีนี้ก็คงหนีไม่พ้นข่าวเรื่องการที่ประเทศจีนได้ประกาศเปิดประเทศสำหรับนักเดินทาง โดยจะเริ่มเปิดประเทศกันตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโควิดในประเทศจีนที่ดูเหมือนว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเอาบทวิเคราะห์จากสำนักข่าวรอยเตอร์สมานำเสนอเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศจีนนับจากนี้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ชาวจีนนั้นถือว่าตัดขาดจากส่วนที่เหลือของโลกมานานกว่า 3 ปี ด้วยมาตรการการควบคุมวิกฤติโควิด-19 ได้แห่กันไปเดินทางยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในวันที่ 27 ธ.ค. ซึ่งในวันเดียวกันนี้เองทางการจีนได้มีการประกาศเปิดพรมแดนอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระบบสุขภาพอยู่ในภาวะตึงเครียดและภาวะเศรษฐกิจแย่ลงขึ้นไปอีก
นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนนั้นทำให้ต้องมีทั้งการปิดพรมแดน และการล็อกดาวน์ที่บ่อยครั้งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจีนตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้นับตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เกิดความไม่พอใจในสาธารณชนของประเทศจีนอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เข้าสู่อำนาจเมื่อปี 2555 เป็นต้นมา
ทั้งนี้การกลับลำกะทันทันสำหรับนโยบายของประธานาธิบดีสีในเดือนนี้หมายความว่าไวรัสสามารถจะท่องไปได้โดยไม่มีการตรวจสอบในประเทศซึ่งมีประชาชนกว่า 1.4 พันล้านคน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางสถิติที่เป็นทางการระบุเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. แค่ว่ามีผู้เสียชีวิตแค่ 1 รายในช่วง 7 วันที่ผ่านมา นี่ทำให้เกิดข้อกังขาทั้งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลของรัฐบาล เพราะตัวเลขนั้นมีความไม่สอดคล้องกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลของประเทศอื่นๆที่เล็กกว่าซึ่งเพิ่งจะเปิดประเทศ
โรงพยาบาลในจีนต้องแบกรับภาวะผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้น (อ้างอิงวิดีโอจากสเตรทไทม์ส)
โดยแพทย์หลายคนให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่าโรงพยาบาลหลายแห่งนั้นมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก 5-6 เท่าเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาปกติ ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้สูงอายุ ขณะที่ทางผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากต่างประเทศได้มีการประเมินว่าจีนมีผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอยู่ที่หลายล้านคน และคาดว่าในปี 2566 จีนจะมีผู้เสียชีวิตจากโควิดอย่างน้อย 1 ล้านราย
อย่างไรก็ตามทางการจีนยังคงมุ่งมั่นที่จะรื้อถอนร่องรอยสุดท้ายของนโยบายโควิดเป็นศูนย์ให้หมดสิ้นไป
ทั้งนี้ในมาตรการล่าสุดเกี่ยวกับการผ่อนปรนมาตรการว่าด้วยการควบคุมชายแดนนั้นได้รับเสียงสนับสนุนเป็นอย่างดีจากตลาดหุ้นในเอเชียเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อกำหนดเรื่องการควบคุมพรมแดนฉบับใหม่นั้นระบุแค่ว่าผู้เดินทางขาเข้าจะต้องเข้าสู่การกักตัวตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. อ้างอิงจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.
“ในที่สุดก็ได้รู้สึกว่าจีนยอมเปลี่ยนมุมของตัวเอง” นายโคล์ม ราฟเฟอร์ตี้ ประธานบริษัทแอมแชม ไชน่ากล่าวถึงแผนการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องไวรัสของประเทศจีน
โดยข้อมูลจากแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวที่ประเทศจีนชื่อว่า Ctrip แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่มีการเสนอข่าวเปิดประเทศ คำค้นหาของชาวเน็ตจีนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนั้นมีการค้นหาจุดหมายปลายทางยอดฮิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ซึ่งที่หมายอย่างมาเก๊า, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ไทย, เกาหลีใต้ เป็นคำค้นหาที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุด
ข้อมูลจากอีกแพลตฟอร์มหนึ่งชื่อว่า Qunar แสดงให้เห็นว่าภายใน 15 นาทีของข่าว การค้นหาเที่ยวบินระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า โดยมีไทย,ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นเส้นทางอันดับต้นๆของรายการการค้นหา
ทั้งนี้การบริหารจัดการเกี่ยวกับมาตรการโควิดของประเทศจีนนั้นจะถูกลดอันดับลงไปอยู่ที่ประเภท B จากระดับสูงสุดคือระดับ A โดยการลดระดับนั้นจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.เช่นกัน โดยหน่วยงานด้านสุขภาพของจีนได้กล่าวว่าการควบคุมนั้นจะมีความเข้มงวดน้อยลง
การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าทางการจะไม่มีอำนาจมาควบคุม บังคับให้มีการกักตัวผู้ป่วยและผู้มีความเสี่ยงสัมผัสในระดับภูมิภาคได้อีกต่อไป
ทว่าในขณะที่มีความตื่นเต้นที่ประเทศจีนจะได้กลับไปสู่วิถีชีวิตดั้งเดิมก่อนการระบาดของโควิด มันก็มีแรงกดดันที่ค่อนข้างมหาศาลกับระบบสาธารณสุขของประเทศจีน โดยแพทย์ได้กล่าวว่าโรงพยาบาลหลายแห่งนั้นยังคงเผชิญกับภาวะท่วมท้นของผู้ป่วย ขณะที่พนักงานในสถานบริการจัดงานศพก็มีผู้ต้องการใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
โดยแพทย์และพยาบาลได้รับการร้องขอให้ทำงาน แม้ว่าพวกเขาจะป่วยหรือว่าเกษียณอายุไปแล้วก็ตาม ส่วนในพื้นที่ชนบทก็มีรายงานของการจ้างแพทย์กลับมาใหม่มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อมาช่วงรับมือกับปัญหาทางสุขภาพ ซึ่งสื่อของรัฐจีนรายงานว่ามีบางเมืองประสบปัญหาในเรื่องของการจัดหายาต้านไวรัสแล้ว
“ฉันไปดูที่ห้องจัดงานศพในเมืองต่างๆ ฉันได้ยินว่าเราต้องเข้าคิวเป็นเวลานาน 3-5 วัน เพียงเพือจะได้จัดงานเผาศพที่นี่”ชาวจีนคนหนึ่งในมณฑลซานตงตะวันออกบ่นลงบนโซเชียลมีเดีย
@ความเจ็บปวดในระยะใกล้ที่เข้ามา
คาดการณ์กันว่าประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกนั้นจะเห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี 2566 หลังจากคลื่นการกระแทกของการติดเชื้อจำนวนมากได้จางหายไป แต่ว่าตอนนี้จีนกำลังอยู่ในภาวะที่ยากลำบากในอีกไม่กี่สัปดาห์และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากคนงานหลายคนเริ่มทยอยล้มป่วย
ข่าวประเทศจีนเปิดประเทศ (อ้างอิงวิดีโอจากอารีรัง)
โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมั้นร้านรวงในกรุงปักกิ่งและในอีกหลายที่ต้องปิดตัวลง เนื่องจากพนักงานไม่สามารถมาทำงานได้ ขณะที่โรงงานบางแห่ง พนักงานหลายคนก็เริ่มที่จะลางานแล้วเพื่อเตรียมจะร่วมเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปลายเดือน ม.ค.
ทางด้านของนักวิเคราะห์จากธนาคารเจพีมอร์แกนกล่าวว่าความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทานยังคงอยู่เนื่องจากว่าแรงงานนั้นได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ โดยข้อมูลจากการสัญจรด้วยรถไฟใต้ดินล่าสุดนั้นยังแสดงให้เห็นว่าผู้คนยังคงจำกัดการเคลื่อนย้ายของตัวเองเนื่องจากไวรัสยังคงแพร่กระจาย
ข้อมูลในวันที่ 27 ธ.ค.ยังได้เปรียบเทียบให้เห็นอีกว่ากำไรภาคอุตสาหกรรมนั้นลดลง 3.6 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ย.ในปี 2564 เทียบกับในช่วงเดือน ม.ค.-ต.ค. ในปีนี้พบว่ากำไรก็ยังลดลงอยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนี่จะท้อนให้เห็นผลของการใช้มาตรการควบคุมไวรัสที่เพิ่งจะยกเลิกไปเมื่อปลายเดือน พ.ย. ที่บังคับใช้ในหลายพื้นที่รวมไปถึงพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ดังนั้นการยกเลิกมาตรการการจำกัดการท่องเที่ยวก็ทำให้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯของประเทศจีนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงกระนั้นมันก็มีข้อแม้อยู่บ้างบางประการ
“การเดินทางระหว่างประเทศ แน่นอนว่ามีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น แต่อาจจะใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่ปริมาณการเดินทางนั้นจะกลับเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนการระบาด” นายแดน หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารฮั่งเส็งประเทศจีนกล่าว
การสัญจรในกรุงปักกิ่งหลังจากทางการยกเลิกข้อจำกัดเรื่องโควิด (อ้างอิงวิดีโอจากรอยเตอร์ส)
และกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “โควิดยังคงแพร่กระจายในพื้นที่ส่วนใหญ่ของจีน ซึ่งรบกวนตารางการทํางานปกติอย่างมาก การสูญเสียผลผลิตมีความสําคัญและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอาจรุนแรงเนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจะแซงหน้าการฟื้นตัวของอุปทานในประเทศจีน”