เป็นไปได้มากว่ามีคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองนั้นติดเชื้อไปแล้ว โดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแอนติบอดี (สารภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านโควิดก็สนับสนุนทฤษฎีนี้เพราะพบว่ามีกลุ่มคนซึ่งถูกตรวจพบว่ามีแอนติบอดีต่อต้านโควิดคิดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการรายงานตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19
สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ เวลานี้เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ซึ่งไวรัสดังกล่าวนี้ทำให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนหลายร้อยล้านรายทั่วโลก และที่สำคัญเมื่อมีโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ก็ทำให้การติดเชื้อทวีคูณเพิ่มมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่ามีคนบางกลุ่มนั้นพบว่ายังไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนเลย ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนั้นสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้พยายามไปหาบทวิเคราะห์จากต่างประเทศว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงยังไม่เคยติดเชื้อ และคนกลุ่มนี้อาจจะมีความเสี่ยงกับสายพันธุ์ใหม่ๆหรือไม่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ณ จุดนี้ เกือบทุกคนนั้นคงรู้จักใครบางคนที่เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยข้อมูลจากสถาบันตัวชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพรายงานว่าเมื่อเดือน ก.ค. พบว่า มีชาวอเมริกันติดเชื้อโควิดอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง คิดเป็นสัดส่วน 82 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ก็มีกลุ่มประชากรจำนวนเล็กน้อยที่พบว่าไม่เคยติดโควิดมาก่อนเลย หรือที่เรียกกันว่ากลุ่ม Covid Virgin โดยกลุ่มนี้นั้นสามารถจำแนกไปได้ตั้งแต่ผู้ที่ดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม กักตัวเองอยู่ที่บ้าน ไปจนถึงกลุ่มที่ไม่ยอมสวมใส่หน้ากากตอนอยู่บนเครื่องบิน หรือกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์และงานแต่งงาน แต่ก็ไม่เคยป่วยเลย
โดยสิ่งที่เรารับทราบเกี่ยวกับโควิดอย่างแน่ชัดก็คือว่าไวรัสนี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และยังคงเกิดสายพันธุ์ใหม่ๆอยู่เป็นประจำ อาทิ โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่กลายเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดเป็นหลัก ซึ่งมีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสายพันธุ์นี้นั้นมีศักยภาพในการติดต่อเชื้อได้มากกว่า และก็มีความสามารถในการทนต่อวัคซีนได้สูงกว่าโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้านี้
แน่นอนว่านี่นำไปสู่คำถามสำคัญว่า “กลุ่มคนที่ยังรอดจากเชื้อโควิด ผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกันจากการติดโควิด อาจจะกลายเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อโควิดสายพันธุ์อื่นๆที่มีการกลายพันธุ์มากขึ้นหรือไม่”
โดยนี่คือประเด็นเจาะลึกว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงไม่ติดโควิดและคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสติดโควิดได้มากขึ้นหรือไม่เมื่อมีสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์หลังจากนี้ออกมา
@ทำไมบางคนถึงยังรอดจากการติดโควิด-19
เรื่องนี้นั้นมีคำอธิบายค่อนข้างมากมายว่าทำไมบางคนถึงสามารถจะหลบเลี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 ไปได้ ซึ่งหนึ่งในทฤษฎีที่มีการกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดก็คือว่าคนกลุ่มนี้จริงๆอาจจะเคยมีหรือว่ากำลังมีไวรัสอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ตัวมาก่อน
โดยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีนี้ก็คือว่ามีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของการติดเชื้อโควิด-19 นั้นพบว่าเป็นการติดเชื้อซึ่งไม่แสดงอาการ การติดเชื้อในเด็กและคนหนุ่มสาวเองก็พบว่ามีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะถูกมองข้าม ข้อมูลก็ไม่ได้นำเข้าไปสู่ระบบ เนื่องจากว่ามีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้นั้นดูเหมือนว่าเป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการแต่อย่างใดเมื่อติดเชื้อแล้ว
และผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมาก พวกเขาก็อาจจะคิดว่าเป็นแค่โรคหวัดธรรมดาหรือแค่วันที่แย่ก็เป็นได้
โดยถ้าหากว่าคุณมีอาการคัดจมูก อาการเหนื่อยล้า และอาการดังกล่าวนั้นหายไปโดยเร็ว การไปตรวจหาเชื้อก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาเท่าไรนัก
“เป็นไปได้มากว่ามีคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองนั้นติดเชื้อไปแล้ว โดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแอนติบอดี (สารภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านโควิดก็สนับสนุนทฤษฎีนี้เพราะพบว่ามีกลุ่มคนซึ่งถูกตรวจพบว่ามีแอนติบอดีต่อต้านโควิดคิดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการรายงานตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19” นพ.สกอตต์ โรเบิร์ตส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและรองผู้อํานวยการด้านการแพทย์ด้านการป้องกันการติดเชื้อที่ Yale Medicine กล่าว
คำอธิบายอีกประการเกี่ยวกับกรณีที่มีบางคนไม่ติดเชื้อก็คือว่า คนกลุ่มนี้นั้นไม่ได้โชคดี เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นได้พยายามที่จะสวมใส่หน้ากากระหว่างอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา,หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ และพยาบามไปอัปเดตการฉีดวัคซีนอยู่สม่ำเสมอ
นพ.โรเบิร์ตกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่าเมื่อคนกลุ่มนี้ไปพบปะกับเพื่อนและครอบครัว พวกเขาได้มีการกระตุ้นให้ผู้อื่นต้องเข้ารับการตรวจก่อนหน้าจะพบปะกัน
มหาวิทยาลัยยูซี ซานดิเอโก้ศึกษากลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยติดโควิดมาก่อน (อ้างอิงจาก CBS Sandiego)
@ยีนมีบทบาทอย่างไรบ้าง
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือเรื่องของยีนซึ่งอาจจะมีบทบาทในการป้องกันไม่ให้ติดโควิด โดย นพ.โรเบิร์ตได้กล่าวว่ามีประชาชนบางคนในกลุ่มซึ่งติดเชื้อ HIV พบว่ามีสิ่งที่เรียกกันว่า “ผู้ควบคุมในระดับสูง” และคนกลุ่มนี้ก็มียืนส์ซึ่งป้องกันไม่ให้ไวรัสนั้นไปแพร่กระจายและติดเชื้อไปยังเซลล์อื่นๆ ซึ่งแม้ว่าข้อมูลนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดกับโควิดด้วยเช่นกัน
“มีความเป็นได้ที่มีบางคนที่อาจจะมียีนหรือว่าบางสิ่งที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองและทำงานในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีส่วนรับซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไวรัสสามารถเข้าสู่เซลล์ได้” นพ.โรเบิร์ตตั้งข้อสันนิษฐาน
โดยขณะนี้สถาบันสุขภาพแห่งชาติกำลังสนับสนุนการดำเนินงานศึกษาบทบาททางพันธุกรรมกับความเสี่ยงของโควิด-19 ในกลุ่มประชากรอยู่ ซึ่งแม้ว่านักวิจัยยังไม่พบว่าจะมียืนที่มีลักษณะทำให้แต่ละคนนั้นมีภูมิต้านทานต่อโควิดแต่อย่างไร แต่ก็เริ่มจะมีหลักฐานให้เห็นแล้วว่ายีนของแต่บุคคลนั้นสามารถจะผกผันกับทิศทางการติดเชื้อได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะสนับสนุนทฤษฎีนี้ไปเสียทุกคน เนื่องจากว่ายังขาดหลักฐานอยู่
“ไม่มีเหตุผลพอที่จะเชื่อได้ว่านั่นคือเรื่องจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้ จนถึงขณะนี้เรายังไม่มีทั้งรายงาน ไม่มีการค้นพบ และไม่มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าใครเคยมีภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ โดยที่ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อนเลย” นพ.แอนดรูว์ แฮนเดล แพทย์โรคติดเชื้อในเด็กที่ Stony Brook Medicine กล่าว
การศึกษาเรื่องยีนกับการป้องกันโควิด (อ้างอิงวิดีโอจาก NBC)
@ผู้ยังไม่เคยคิดโควิดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อสายพันธุ์ใหม่ๆมากน้อยแค่ไหน
“ขณะนี้มีระดับการป้องกันโควิดที่มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล โดยบุคคลที่มีระดับการป้องกันโควิดในระดับสูงที่สุดคือผู้ที่ได้รับทั้งการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อ รองลงมาก็คือกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนแต่ว่ายังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ตามมาด้วยกลุ่มที่ติดเชื้อแล้วแต่ไม่ยอมไปฉีดวัคซีน และกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ล่างสุดของความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันก็คือผู้ที่ทั้งไม่เคยติดเชื้อหรือไม่เคยฉีดวัคซีนเลย” นพ.โรเบิร์ตกล่าว
แต่ก็ยังไม่มีการรับประกันว่าผู้ไม่เคยติดเชื้อโควิด ซึ่งเป็นผู้ขาดภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาตินั้นจะเป็นผู้ที่มีอาการป่วยอย่างรุนแรงเมื่อติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่เข้าไป ซึ่ง ณ จุดนี้ก็มีคำถามมากมายทที่นักวิทยาศาสตร์นั้นยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด
มีงานวิจัยที่นำเสนอว่าแอนติบอดีที่ได้มาตามธรรมชาตินั้นสามารถมอบภูมิคุ้มกันป้องกันสายพันธุ์โควิดก่อนหน้านี้ได้ในกลุ่มของผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว อย่างไรก็ตามในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน พบว่าแอนติบอดีที่ได้มาตามธรรมชาตินั้นไม่ได้มอบภูมิคุ้มกันในลักษณะที่กว้างขวางไปถึงโควิดสายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่โอไมครอน
ส่วนการศึกษาอื่นๆแสดงให้เห็นว่าผู้ฟื้นตัววจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอน พบว่าจะมีศักยภาพในการป้องกันการติดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้ถึง 76 เปอร์เซ็นต์
“นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับประเภทของภูมิคุ้มกันที่แต่ละบุคคลอาจจะได้จากการติดเชื้อ เนื่องจากว่าไวรัสโควิดได้กลายพันธุ์ไปค่อนข้างมาก จึงสามารถทำให้หลีกเลี่ยงแอนติบอดีไปได้” นพ.โรเบิร์ตกล่าวและกล่าวต่อว่าการติดเชื้อตามธรรมชาตินั้นสามารถมอบภูมิให้มากกว่าการฉีดวัคซีนในแง่ของการป้องกันอื่นๆที่ไม่ใช่แอนติบอดี อาทิ การตอบสนองของเซลล์ที เป็นต้น และแน่นอนว่าการที่ร่างกายตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันตามธรรมชาตินั้นก็อาจจะแตกต่างจากการได้รับภูมิคุ้มกันที่มาจากวัคซีน
ถึงกระนั้นผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะต้องไปหาเชื้อมาติดตัวเอง หรือพยายามทำให้ตัวเองป่วย เพราะว่ายังมีประเด็นความเสี่ยงเรื่องโควิดระยะยาวหรือว่าลองโควิดอยู่ แม้ว่าการติดเชื้อจะไม่รุนแรงก็ตาม ซึ่งในสหรัฐฯนั้นพบว่าถึงหนึ่งในห้าของผู้ที่ป่วยโควิดนั้นพบว่าเป็นลองโควิด และก็ยังไม่มีการรับประกันชัดเจนว่าการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่ระบาด ณ เวลานี้จะสามารถป้องกันโควิดสายพันธุ์ในอนาคตได้
@อะไรที่จะตามมาหลังจากนี้
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าไวรัสโควิดนั้นน่าจะสามารถเป็นโรคประจำถิ่นได้อย่างแท้จริงก็ในปี 2567 หมายความว่าไวรัสนั้นจะยังคงหมุนเวียนอยู่ต่อไป แต่ว่าอยู่ในระดับที่สามารถคาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่แนวคิดที่ดีเลยถ้าหากจะมีการลดการเฝ้าระวังลงหรือว่าตั้งใจจะติดโควิดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
“มันจะเป็นรูปแบบเดียวกับที่เราจะรักษาโรคหวัด ซึ่งเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 40,000-60,000 รายต่อปี โดยสังคมเรานั้นสามารถยอมรับและตัดสินใจอยู่ร่วมกับไข้หวัดได้ แต่ว่าในโรงพยาบาลเราก็เห็นผู้คนรวมไปถึงคนหนุ่มสาวเสียชีวิตจากโรคหวัด ดังนั้นมันก็เป็นแนวคิดที่อันตรายที่จะคิดว่าไวรัสมันจะอยู่ต่อไป ดังนั้นเราต้องพยายามไปติดเชื้อด้วยเช่นกัน” นพ.โรเบิร์ตกล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.health.com/news/never-had-covid-variant-susceptibility