“…ผลในห้องทดลองพบว่า ยาตำรับห้ารากที่สกัดด้วยน้ำ มีค่าการยับยั้งโควิดสายพันธุ์เดลต้า 96.23% ขณะที่ยาตำรับประสะเปราะใหญ่ที่สกัดด้วยน้ำ มีค่าการยับยั้งโควิดสายพันธุ์เดลต้า 76.56% และยาตำรับประสะเปราะใหญ่ที่ทำการสกัดด้วยตัวทำละลายที่เป็นแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 50% มีค่าการยับยั้งโควิดสายพันธุ์เดลต้า 88.70% ตำรับยาไทยดังกล่าวนี้มีฤทธิ์ต่อต้านโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ดี ส่วนสายพันธุ์โอไมครอนนั้น ยืนยันว่า ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาได้ดีอยู่เช่นเดียวกัน…”
‘โอไมครอน’ เป็นเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ของยีนมากกว่า 50 ตำแหน่ง โดย 32 ตำแหน่งกลายพันธุ์ตรงส่วนหนามของไวรัส (Spike Protein) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์เบต้า ทำให้โควิดสายพันธุ์นี้สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันทั้งจากวัคซีน การติดเชื้อธรรมชาติ ตลอดจนเกิดการดื้อยาได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโอไมครอนจะสามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดี แต่จากงานวิจัยของหลายๆ ประเทศก็แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในช่วงการระบาดใหญ่นี้ เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้
ขณะเดียวกันการมียาเม็ดต้านโควิด อาทิ ยาโมลนูพิราเวียร์ หรือยาแพ็กซ์โลวิด ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการรับมือกับการระบาดครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีประสิทธิภาพสูงถึง 50-89% แม้จะเจอกับโอไมครอนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของยาอ่อนแอลงแต่อย่างใด
สำหรับประเทศไทยของเรา ไม่เพียงแต่ใช้ยาแผนตะวันตกในการรักษาผู้ป่วยโควิดเท่านั้น ยังมียาแผนไทยอย่าง ‘สมุนไพรไทย’ เป็นการรักษาทางเลือกอีกแนวทางหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย
แต่สมุนไพรไทยใดบ้างที่สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในช่วงการระบาดของโอไมครอน และมีประสิทธิผลเป็นอย่างไรนั้น นพ.จักราวุธ เผือกคง ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยกับ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ยาสมุนไพรไทยที่หลายคนรู้จักคงหนีไม่พ้นยาฟ้าทะลายโจร ยืนยันว่ายานี้ยังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิดได้เหมือนเดิม แม้จะเจอกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอน
“ยังรักษาได้เหมือนเดิม เพราะว่าฟ้าทะลายโจรเขาไปออกฤทธิ์เรื่องของการแบ่งตัวของไวรัส ซึ่งเป็นตัว RNA ข้างใน แต่โอไมครอนนั้นเปลี่ยนแปลงที่หนาม เพราะฉะนั้นการออกฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรจึงมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยืนยันว่าใช้ได้เหมือนเดิม” นพ.จักราวุธ กล่าว
โดยปัจจุบันแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด เราจะให้ใช้ในกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวที่ไม่มีอาการและกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการรักษาของกรมการแพทย์ เพราะถ้าเกิดผู้ป่วยเริ่มมีอาการจะเริ่มให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ในแนวทางนั้นระบุไว้ว่า จะไม่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรคู่กับยาฟาวิพิราเวียร์ ดังนั้นการใช้ยาฟ้าทะลายโจรจึงยังใช้ในกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวที่ยังไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์
สำหรับประสิทธิผลในการรักษายังได้ผลเหมือนเดิม คือ ช่วยลดอาการแทรกซ้อนของโควิดให้เกิดขึ้นได้น้อยกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาฟ้าทะลายโจร
“อาการแทรกซ้อนที่เกิดน้อยกว่า โดยประมาณจะอยู่ที่ 1 ใน 10 คือ จากเดิมที่มีอาการแทรกซ้อน เช่น ผู้ป่วยโควิด 100 คน จะมี 50 คนที่ไม่มีอาการ ในจำนวน 50 คนนั้น บางคนภายหลังจะมีอาการแทรกซ้อนที่ปอดราว 10 คน แต่พอใช้ยาฟ้าทะลายโจรจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการแทรกซ้อนให้เหลือแค่ 1 คน” นพ.จักราวุธ กล่าว
สำหรับการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ในผู้ใหญ่จำเป็นต้องได้รับสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวัน และในเด็กต้องการวันละไม่น้อยกว่า 30 มิลลิกรัม เป็นเวลาติดต่อกัน 5 วัน ซึ่งมีวิธีใช้อยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบสารสกัด และแบบผงบด ผู้ป่วยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้ได้ตามบัญชียาหลักแห่งชาติสมุนไพร
ย้ำว่าไม่ควรใช้ยาฟ้าทะลายโจรเกิน 5 วัน เพราะอาจเกิดปัญหาต่อร่างกายได้ ส่วนกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการใช้ยาฟ้าทะลายโจร คือ ผู้ป่วยโรคตับ ไต โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคประจำตัวอื่นๆ เพราะห้ามใช้ยานี้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต ขณะที่หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้มีอาการไข้สูงไม่ควรใช้ยาฟ้าทะลายโจร
ทั้งนี้ยาฟ้าทะลายโจรไม่สามารถป้องกันโควิดได้เหมือนวัคซีน เพราะมีกลไกที่แตกต่างกัน ฟ้าทะลายโจรจะมาปรับให้ร่างกายของเราแข็งแรง สามารถต่อสู้กับโควิดได้ดีขึ้น ขณะที่วัคซีนจะสร้างภูมิต้านทานต่อโควิด จะเห็นได้ว่ากลไกแตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันเท่านั้น เป็นสาเหตุให้เราแนะนำว่าให้กินฟ้าทะลายโจรเพื่อส่งเสริมภูมิต้านทาน ทานเมื่อพบว่าป่วยเท่านั้น
2 ตำรับสมุนไพรไทยยับยั้งโควิดในห้องทดลองได้
ส่วนกระแสที่มีความต้องการใช้ยาตำรับห้าราก และยาตำรับประสะเปราะใหญ่ เพื่อช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการจากการติดเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่องนั้น นพ.จักราวุธ กล่าวว่า ยาสมุนไพรไทยทั้ง 2 ตำรับนี้นำมาใช้เป็นตำรับยาหลักในการรักษาโควิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว โดยเฉพาะยาตำรับห้ารากที่ให้ใช้เสริมควบคู่กับยาฟ้าทะลายโจร
เพียงแต่ผลงานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นผลงานที่เข้ามาสนับสนุนว่ายาตำรับห้ารากนี้มีฤทธิ์ในการรักษาโควิด ทำให้ประชาชนและแพทย์แผนปัจจุบันมั่นใจในตัวยามากขึ้นว่ายามีประสิทธิภาพจริงๆ โดยผลในห้องทดลองพบว่า ยาตำรับห้ารากที่สกัดด้วยน้ำ มีค่าการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า 96.23% ที่ความเข้มข้น 10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
ยาตำรับประสะเปราะใหญ่ที่สกัดด้วยน้ำ มีค่าการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า 76.56% ที่ความเข้มข้น 10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ยาตำรับประสะเปราะใหญ่ที่ทำการสกัดด้วยตัวทำละลายที่เป็นแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 50% มีค่าการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า 88.70% ที่ความเข้มข้น 2.5 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
อย่างไรก็ตามตำรับยาไทยดังกล่าวนี้มีฤทธิ์ต่อต้านโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ดี ขณะที่สายพันธุ์โอไมครอน นพ.จักราวุธ ยืนยันว่า ยายังมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยสายพันธุ์ใหม่ได้ดีอยู่เช่นเดียวกัน
นพ.จักราวุธ เผือกคง ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
รู้จักยาห้าราก ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดคู่ฟ้าทะลายโจร
นพ.จักราวุธ กล่าวอีกว่า สำหรับยาห้าราก เป็นยาตำรับแผนโบราณของไทยที่มีการใช้มานานแล้ว ประกอบด้วยรากสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ รากคนทา, รากชิงชี่, รากเท้ายายม่อม, รากมะเดื่อชุมพร และรากย่านาง โดยใช้แต่ละรากหนัก 20 กรัม มาทำเป็นตำรับยา
โดยตำรับยาห้ารากจัดอยู่ในกลุ่มยาแก้ไข้ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิมในบัญชียาหลักแห่งชาติ และจัดเป็นอีกตำรับยาไทยสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโควิดตามแนวทางการดูแลรักษาแบบ Home Isolation ในระบบหลักประกันสุขภาพ
สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ควบคู่ไปกับยาฟ้าทะลายโจร เพราะยานี้เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นจะทำให้ได้ผลดี รักษาผู้ป่วยโควิดได้ตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงมีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อย ตัวร้อน และมีอาการอ่อนเพลีย ดังนี้
-
แบบผงบด สำหรับผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-1.5 กรัม ละลายน้ำสุก วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ส่วนเด็กให้รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม-1 กรัม ละลายน้ำสุก วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
-
แบบชนิดแคปซูล สำหรับผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 1-1.5 กรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ส่วนเด็กให้รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม-1 กรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
อย่างไรก็ตามยาตำรับนี้ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เพราะอาจบดบังอาการของไข้เลือดออกได้ และไม่แนะนำให้ใช้ระหว่างมีประจำเดือน ทั้งนี้หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
‘ประสะเปราะใหญ่’ ลดอาการแทรกซ้อนจากโควิด
ส่วน ตำรับยาสมุนไพรไทย ‘ประสะเปราะใหญ่’ เป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้ตานซางสำหรับเด็กที่ผสมสมุนไพร 21 ชนิด ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับยาห้าราก ที่ประชาชนสามารถหาซื้อรับประทานเองได้ แต่ควรรับประทานตามข้อบ่งใช้และขนาดที่ระบุในบัญชียาหลักแห่งชาติ
โดยภายในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุไว้ว่า ยาสมุนไพรนี้มีทั้งแบบผงและแบบเม็ด สำหรับเด็กอายุ 1-5 ปี ให้รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม-1 กรัม ละลายน้ำกระสายยา (น้ำดอกไม้เทศหรือน้ำสุก) ทุก 3-4 ชั่วโมง ส่วนเด็กอายุ 6-12 ปี ให้รับประทานครั้งละ 1 กรัม ทุก 3-4 ชั่วโมง
ไม่แนะนำให้รับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสารกันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) รวมถึงควรระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ และที่สำคัญไม่ให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการของไข้เลือดออกได้ ทั้งนี้หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
"สำหรับประสิทธิภาพของยาทั้ง 2 ตำรับนี้ คล้ายกับยาฟ้าทะลายโจร จากการเก็บรวบรวมข้อมูลร่วมกับแพทย์แผนไทยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า การให้ยาสมุนไพรดังกล่าวจะทำให้อาการแทรกซ้อนของโควิดเกิดขึ้นน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินยา ซึ่งผลออกมาคล้ายกับยาฟ้าละลายโจรมาก” นพ.จักราวุธ กล่าว
กระชายยังไม่เคาะใช้เป็นยาหลัก
สำหรับกระชายนั้น นพ.จักราวุธ กล่าวว่า ขณะนี้กระชายยังไม่ได้ใช้เป็นตัวยาหลักในการรักษาผู้ป่วยโควิด แต่จากผลงานวิจัย จะเห็นว่ากระชายมีฤทธิ์รักษาโควิดได้ รวมถึงโอไมครอน แต่ด้วยขนาดยาที่จะต้องใช่ค่อนข้างเยอะ คือ หากเป็นกระชายสดจะต้องใช้ประมาณเกือบ 200 กรัมครึ่ง ทำให้ไม่สะดวกในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นเหตุผลให้นิยมใช้กันในรูปแบบของสารสกัด แต่สารสกัดนั้นก็ไม่ได้มีอยู่ในท้องตลาดมากเหมือนฟ้าทะลายโจร จึงไม่ได้นำมาใช้เป็นสมุนไพรหลัก
โดยวิทยาลัยเภสัชกรรมสมุนไพรแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยผลการวิจัยสารสกัดกระชายกับงานวิจัยฤทธิ์ยับยั้งโควิด พบว่า สารสกัดเอทานอลจากเหง้ากระชาย มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อโควิด เมื่อทดสอบในระดับเซลล์ โดยมีฤทธิ์ต้านไวรัสในระยะหลังการติดเชื้อแล้ว ดีกว่าการป้องกันเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ ซึ่งสารสำคัญ 2 ชนิดหลักในกระชายที่มีฤทธิ์ยับยั้งของเชื้อไวรัส ได้แก่ แพนดูราทินเอ (panduratin A) และพินอสตรอบิน (pinostrobin)
นอกจากนี้ เมื่อขยายผลสู่การวิจัยในสัตว์ทดลอง เบื้องต้นพบว่าสามารถช่วยให้สัตว์ทดลองมีสุขภาพดีขึ้นและลดอาการอักเสบของปอดได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังในการรับประทานกระชายนั้น ไม่ควรรับประทานในรูปแบบอาหารและยาติดต่อกันเกิน 7 วัน เพราะจะทำให้มีฤทธิ์ร้อนในร่างกายมาก อาจเกิดปัญหาร้อนใน ใจสั่นได้ ขณะเดียวกันในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับ โรคไต โรคถุงน้ำดีอุดตัน ควรหลีกเลี่ยงในการรับประทาน และในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานกระชายในปริมาณมากเกินไป
ด้วยการฉีดวัคซีน การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ร่วมกับการใช้ยาสมุนไพรไทย ก็มีความหวังว่าคนไทยทุกคนจะก้าวพ้นภาวะวิกฤตินี้ไปด้วยกันโดยเร็ว