กติกาด้านการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนนั้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ. 2565 ขณะที่ในประเทศสิงคโปร์และประเทศอื่นๆในเอเชียก็จะมีการใช้มาตรการที่คล้ายกันนี้ในช่วงต้นปี 2565 เช่นเดียวกัน ขณะที่ประเทศอินเดียก็ได้มีการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนกับผู้เดินทางที่มาจากกลุ่มประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรวดเร็ว ซึ่งในหลายรัฐ ใบรับรองที่ว่านี้นั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเข้าไปยังพื้นที่สาธารณะ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเป็นต้น
สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสที่กินเวลามาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2562 ยาวนานจนถึงสิ้นปี 2564 พร้อมกับการกำเนิดขึ้นของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ ณ เวลานี้เริ่มจะมีการคาดการณ์กันแล้วว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดในปี 2565 นั้นอาจจะยังอยู่ในสภาวะที่ยากจะลำบากต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
ล่าสุดสำนักข่าวฮินดูสถานไทม์ของประเทศอินเดียเองก็มีการออกมาพยากรณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเช่นกันในหัวข้อรายงานชื่อว่า “สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเกิดความแตกต่างของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในปี 2565” ซึ่งสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำรายงานดังกล่าวมานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
ในช่วงเวลาที่เกิดไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา มันก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตปกติของผู้คนไปโดยสิ้นเชิงในปี 2563 เนื่องจากว่าไวรัสนี้นั้นนำไปสู่การล็อคดาวน์ วิกฤติทางด้านสุขภาพและความสิ้นหวังในการไขว่คว้าหาวัคซีน
พอมาถึงในช่วงปี 2564 ไวรัสโควิด-19 หรือที่มีชื่อว่า Sars-CoV-2 ก็ได้กลายพันธุ์ยิ่งขึ้นไปอีก และการกลายพันธุ์ดังกล่าวนั้นก็ทำให้เกิดการระบาดในระลอกสองของผู้ติดเชื้อที่รุนแรง ส่งผลกระทบ และฆ่าประชากรไปนับหลายแสนคน ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในทวีปยุโรปต่างก็เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เนื่องจากว่าเคยมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในโลก อีกทั้งในทวีปยุโรปนั้นก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงเป็นประวัติการณ์หรือว่านิวไฮเกิดขึ้นในทุกๆวัน
สำหรับการติดเชื้อดังกล่าวนั้นก็แน่นอนว่ามาจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่ถูกตรวจพบเจอในประเทศแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้แพร่กระจายไปยังมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกและ ณ เวลานี้ ทำให้เกิดความกลัวว่าจะต้องมีการใช้มาตรการล็อคดาวน์และการใช้มาตรการอันเข้มงวดอื่นๆตามมาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น ณ เวลานี้คำถามที่สำคัญก็คือว่าปี 2565 นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมาหรือไม่ ขั้นตอนถัดไปที่หลายๆรัฐบาลทั่วโลกจะทำอย่างไร ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ได้นำไปสู่การคาดการณ์คำตอบของสถานการณ์ไวรัสในปี 2565 ดังต่อไปนี้
@ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นจะเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์สุดท้ายหรือไม่
ไม่ใช่อย่างแน่นอน โดยที่ผ่านมานั้นมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนได้กล่าวว่าโลกจะมีโอการเห็นการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ได้อีกในอนาต และยังได้เตือนให้รัฐบาลทั่วโลกนั้นเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชากรให้ได้มากที่สุด
โดยนับตั้งแต่ปี 2562 ไวรัสโควิด-19 ก็ได้มีการกลายพันธุ์ไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งการกลายพันธุ์ทุกครั้งก็เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าก่อนหน้านี้ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ก็ได้มีการระบุประเภทไวรัสไปแล้วได้แก่สายพันธุ์อัลฟา,เบต้า แกมมา,เดลต้า และโอไมครอนว่าเป็นสายพันธุ์อันน่ากังวล
แต่ทางด้านของ นพ.จูเลียน ถึง ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ระบบทางเดินหายใจ ที่มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้กล่าวว่าไวรัส Sars-CoV-2 จะมีการพัฒนาตัวเองต่อไปจนออกจากสายพันธุ์ของการระบาดใหญ่ในอีกไม่นานนี้
“มันจะเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงลดลง สามารถส่งผ่านเชื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งจนถึงจุดนั้นคุณอาจต้องคิดแค่ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเปราะบางของประชากรเท่านั้น” นพ.ถังกล่าว
ขณะที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ VOX สื่อออนไลน์รายใหญ่ของสหรัฐฯก็ได้ลงบทความไว้ตอนหนึ่งระบุว่าจากปัญหาในเรื่องประเทศที่ร่ำรวยได้กักตุนวัคซีนอีกทั้งมีบางส่วนของกลุ่มประชากรมีความลังเลที่จะไปฉัดวัคซีน ทำให้เราไม่สามารถฉีดวัคซีนให้กับโลกได้รวดเร็วเพียงพอ เพื่อจะลดโอกาสของไวรัสในการกลายพันธุ์ไปสู่สิ่งที่ใหม่กว่าและรุนแรงมากกว่าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำก็มีการฉีดวัคซีนไปอย่างน้อยแค่หนึ่งโดสคิดเป็นอัตราส่วน 7.3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเท่านั้นเอง
ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ที่ก่อนสิ้นปี 2565 WHO จะต้องมีการกำหนดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่อันน่ากังวลอีกครั้งหนึ่ง
การประท้วงต่อต้านการล็อคดาวน์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ จากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน (อ้างอิงวิดีโอจาก Global News)
@ 70 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มประชากรจะได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงกลางปี 2565
WHO นั้นได้ระบุไปแล้วว่าเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ในทุกประเทศนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยแถลงการณ์ของ WHO ดังกล่าวนั้นมาจากคำแนะนำของหน่วยงานอิสระด้วยการจัดสรรวัคซีนหรือ IAVG
ทั้งนี้ที่ประเทศอินเดียก็ได้มีการให้วัคซีนสองโดสไปแล้วมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ กับกลุ่มประชากรของประเทศ หรือประมาณ 944 ราย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ออกมาเตือนว่าในเรื่องของประเด็นการฉีดวัคซีนนั้นไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะต้องพึงพอใจที่ระดับใดกันแน่
“การฉีดวัคซีนนั้นถือเป็นการพัฒนาและปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในบางส่วน แต่การสวมใส่หน้ากาก และไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนซึ่งจะยังระบาดอย่างรุนแรงมากขึ้น และอันตรายน้อยลงนั้นก็จะยังคงเป็นสิ่งที่คงอยู่ต่อไป แต่ไวรัสนี้นั้นก็จะทำให้สถานการณ์นั้นไม่ได้มีความรุนแรงเหมือนกับที่เราเห็นในปี 2564 ที่ผ่านมา ” พญ. วินีตา บัล นักภูมิคุ้มกันวิทยา สถาบันการศึกษาและวิจัยวิทยาศาสตร์ของอินเดียซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองปูเณ กล่าวกับสำนักข่าว DW ก่อนหน้านี้
@สถานการณ์การฉีดวัคซีนบูสเตอร์จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้
ข้อมูลจาก WHO นั้นระบุว่าการฉีดบูสเตอร์โดสคือสิ่งที่จัดหาให้กับกลุ่มประชากรที่ดำเนินการฉีดวัคซีนหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มประชากรที่ว่ามานั้นมีภูมิคุ้มกันต่ำลงจนถึงอัตราที่เรียกว่าน้อยกว่าความจำเป็นที่จะสามารถป้องกันโรคได้
โดยการเกิดขึ้นของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนก็ทำให้เกิดประเด็นการหารือกันอย่างกว้างขวางเกี่วกับการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับกลุ่มประชากร ซึ่งในหลายประเทสโดยเฉพาะที่ยุโรป กำลังมีการพิจารณาการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ที่จำเป็นให้กับกลุ่มผู้เดินทางที่มาจากประเทศอื่นๆ อาทิ ผู้นำของประเทศกรีซและประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ได้กล่าวว่า กติกาในเรื่องของการฉีดวัคซีนบูสเตอร์นั้นจะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ในเดือน ก.พ. 2565 เป็นต้นไป
ขณะที่ในประเทศอินเดีย นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็ได้กล่าวผ่านโทรทัศน์ประกาศว่าจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในเด็กอายุ 15-18 ปี โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนนับตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.เป็นต้นไป ในขณะที่การฉีดวัคซีนเพื่อเฝ้าระวัง หรือที่เรียกกันว่าวัคซีนบูสเตอรืนั้นจะเริ่มมีการฉีดให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มผู้ทำงานในด่านหน้านับตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.เป็นต้นไป
ทั้งนี้การตัดสินใจที่จะฉีดวัคซีนบูสเตอร์ดังกล่าวมาจากกรณีผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะที่เชื่อมโยงกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
@ใบรับรองการฉีดวัคซีนจะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น
สืบเนื่องจากการที่มีหลายประเทศได้ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มประชากรเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ไปแล้ว ดังนั้นใบรับรองการฉีดวัคซีนจึงต้องถูกทำให้เป็นข้อบังคับเช่นเดียวกับ โดยรัฐสภายุโรปนั้นได้มีการอนุมัติให้สหภาพยุโรปหรืออียูดำเนินการออกมาตรการระบุถึงใบรับรองการฉีดวัคซีนซึ่งจะเป็นข้อบังคับในการเข้าทวีปยุโรปแล้ว
โดยกติกาด้านการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนนั้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ. 2565 ขณะที่ในประเทศสิงคโปร์และประเทศอื่นๆในเอเชียก็จะมีการใช้มาตรการที่คล้ายกันนี้ในช่วงต้นปี 2565 เช่นเดียวกัน ขณะที่ประเทศอินเดียก็ได้มีการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนกับผู้เดินทางที่มาจากกลุ่มประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรวดเร็ว ซึ่งในหลายรัฐ ใบรับรองที่ว่านี้นั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเข้าไปยังพื้นที่สาธารณะ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเป็นต้น
รายงานข่าวอียูรับรองใบรับรองการฉีดวัคซีนของประเทศไต้หวัน (อ้างอิงวิดีโอจาก Formosa TV English News)
@ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นได้ปรับเปลี่ยนแผนการใช้ชีวิตกับไวรัสโควิดไปในปี 2565
การใช้ชีวิตกับไวรัสโควิด-19 ในปี 2565 จะหมายถึงการประเมินความเสี่ยงในระดับท้องถิ่น และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการฉีดวัคซีน การสวมใส่หน้ากากและการเว้นระยะห่างทางสังคม
“เมื่อผมได้ไปร้านค้าในช่วงบ่ายวันนี้ สิ่งที่ช่วยให้ผมได้ก็คือการที่ผมได้รับรู้ว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดเท่าไรในชุมชนของผม จะไม่มีสถานะการระบาดใหญ่เกิดขึ้นโดยระบุว่าเป็นการระบาดใหญ่ภายในรัฐหรือว่าจังหวัดเดียวเท่านั้น แต่ภาพที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นจะเป็นภาพของสถานการณ์โควิดในพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันออกไปสำหรับกลุ่มประชากรที่มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งนี่จะเป็นหนทางสำหรับอนาคตอันใกล้นี้” นพ.โรเบิร์ต วอชเตอร์ ประธานภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.hindustantimes.com/india-news/with-omicron-fuelling-covid-19-cases-will-2022-be-different-101640592724662.html, https://www.vox.com/future-perfect/22824620/predicting-midterms-covid-roe-wade-oscars-2022