"..จากรายงานล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จำนวนเด็กที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะป่วยเป็นโควิดในรัฐที่มีอัตราการให้วัคซีนต่ำ สูงกว่ารัฐอื่น ๆ 3.4-3.7 เท่า โดยคณะกรรมการโรงเรียนในสหรัฐฯ บางแห่ง ได้ลงมติบังคับให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ต้องได้รับการฉีดวัคซีน จึงจะอนุญาตให้ไปโรงเรียนได้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากพ่อแม่เด็กบางส่วน.."
---------------------------------------
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทั่วทุกมุมโลกกำลังเผชิญอยู่ 'วัคซีนโควิด' จึงเป็นอาวุธสำคัญในการยุติวิกฤติการณ์ครั้งนี้
เกือบทุกประเทศทั่วโลก เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชากรวัยผู้ใหญ่แล้ว เพื่อที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับคนในประเทศ ลดอาการเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิต แต่ยังไม่ฉีดให้กับเด็ก เนื่องจากในช่วงแรกวัคซีนโควิดถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสภาวะฉุกเฉิน
แต่ในปัจจุบัน จากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การแพร่ะกระจาย และติดเชื้อง่ายมากขึ้น จากเดิมที่การติดเชื้อในเด็ก ไม่เป็นที่น่ากังวลมากหนัก เนื่องจากแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
หลายประเทศ เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้เด็กด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังคงเป็นข้อถกเถียง ว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รวบรวมข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็กในต่างประเทศ พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
เด็กในยุโรปส่วนใหญ่ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์อย่างน้อย 1 โดส
ใน สหราชอาณาจักร เด็กอายุระหว่าง 12-15 ปี สามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ โดยเป็นวัคซีนไฟเซอร์ 1 โดส และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อลดผลกระทบทางการศึกษาของเด็กๆ โดยสำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) ได้อนุมัติวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป ได้เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนแก่เด็กนับตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ในช่วงต้นเดือน ส.ค. เด็กๆ ในอังกฤษ และ สกอตแลนด์ อายุ 16-17 ปีได้รับอนุญาตให้จองการนัดหมายเพื่อรับวัคซีนไฟเซอร์ เช่นเดียวกับ เวลส์ ได้รวมกลุ่มอายุดังกล่าวไว้ในการเปิดตัววัคซีนแล้ว แต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะเปิดการนัดหมายสำหรับกลุ่มอายุดังกล่าวเมื่อใด
ล่าสุด หน่วยงานกำกับดูแลด้านยาของสหราชอาณาจักร ให้การรับรอง 'วัคซีนโมเดอร์นา' ว่า มีความปลอดภัยสำหรับการฉีดให้เด็กอายุระหว่าง 12-17 ปี แต่ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะฉีดเมื่อใด
ส่วน เดนมาร์ก ฉีดวัคซีนให้กับประชากรเด็กอายุ 12-19 ปี ส่วนใหญ่อย่างน้อย 1 โดส เช่นเดียวกับ สเปน ที่ฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12-19 ปี
ขณะที่ ฝรั่งเศส ก็ตื่นตัวและให้ความสำคัญต่อการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 12-17 ปี จำนวน 1 โดส เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. โดยคิดเป็นสัดส่วน 66% และฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 52% และภายในเดือน ต.ค.นี้ นโยบายการแสดงหนังสือรับรองสุขภาพ (Health Pass) จะขยายครอบคลุมถึงบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วย ทำให้ทุกคนจำเป็นต้องแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีน หรือผลการตรวจหาเชื้อโควิดที่เป็นลบ เพื่อเข้าไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ เช่น โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ ภัตตาคาร และศูนย์การค้า
ทางด้าน คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนของ เยอรมนี (STIKO) แนะนำว่าควรจะฉีดวัคซีนให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสุขภาพ โรคร้ายแรง อายุระหว่าง 12-17 ปีเท่านั้น ต่อมาในเดือน ส.ค. หลังจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เดลต้า เริ่มแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น จึงได้ขยายการฉีดวัคซีนให้กับเด็กทุกคนที่อายุมากกว่า 12 ปี
สำหรับประเทศ สวีเดน เด็กอายุ 12-15 ปี มีสิทธิ์ได้รับวัคซีน เฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เป็นโรคปอด โรคหอบหืดรุนแรง หรือมีปัญหาด้านสุขภาพที่มีความเสี่ยงสูง
ส่วน นอร์เวย์ ซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งขยายการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมเด็กอายุ 12-15 ปี แต่จะให้เพียงโดสแรกเท่านั้น โดยจะมีการพิจารณาตัดสินใจว่าจะฉีดโดสที่ 2 หรือไม่ในภายหลัง
ภาพจาก: abc
เด็กในสหรัฐฯ กว่า 32% ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
เมื่อเดือน พ.ค. หน่วยงานกำกับดูแลของ แคนาดา และ สหรัฐอเมริกา อนุมัติให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้ จากนั้นก็เริ่มมีการให้วัคซีนแก่เด็กตามจุดต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ทันที โดยจะให้ 2 โดส ทิ้งช่วงห่างกัน 3 สัปดาห์
ในปลายเดือน ก.ค. เด็กอายุ 12-17 ปี ประมาณ 42% ได้รับวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาโดสแรกแล้ว และ 32% ได้รับวัคซีนโดสที่ 2 แล้ว โดยปัจจัยการผลักดันให้ฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเกิดขึ้น ในช่วงที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้า
จากรายงานล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จำนวนเด็กที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะป่วยเป็นโควิดในรัฐที่มีอัตราการให้วัคซีนต่ำ สูงกว่ารัฐอื่น ๆ 3.4-3.7 เท่า โดยคณะกรรมการโรงเรียนในสหรัฐฯ บางแห่ง ได้ลงมติบังคับให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ต้องได้รับการฉีดวัคซีน จึงจะอนุญาตให้ไปโรงเรียนได้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากพ่อแม่เด็กบางส่วน
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐลอสแอนเจลิส ได้ออกคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ซึ่งครอบคลุมนักเรียน 600,000 คน ส่วนใน นิวยอร์ก บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเจ้าหน้าที่โรงเรียนจะต้องรับวัคซีน แต่ไม่บังคับสำหรับนักเรียน
'ไฟเซอร์' ได้เริ่มทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กเด็ก โดยคาดว่า ผลการทดสอบครั้งแรก ในเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี จะออกในเดือน ก.ย. ส่วนผลการทดสอบในเด็กทารกอายุ 6 เดือน - 4 ปี คาดว่าจะออกตามในช่วงสิ้นปีนี้ และนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เคยประกาศว่า จะเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเด็กเล็ก หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลได้ตรวจสอบข้อมูลการทดลองทางการแพทย์แล้ว
จีน ประเทศแรกที่อนุมัติฉีดวัคซีนโควิดให้เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป
จีน เป็นประเทศแรกที่อนุมัติการให้วัคซีนในเด็กอายุ 3 ปี โดยเมื่อเดือน มิ.ย. จีนเริ่มเสนอให้ฉีดวัคซีนที่ผลิตโดยซิโนแวคแก่เด็กอายุ 3-17 ปี โดยได้กำหนดเป้าหมายคร่าวๆ ว่า ต้องการให้วัคซีนครอบคลุม 80% ของประชากร 1.4 พันล้านคนให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ และเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากไม่มีการฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ตามหลักการแล้ว ทางการจีนไม่ได้บังคับว่า จะต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งแจ้งกับนักเรียนว่า จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียนในภาคการศึกษานี้ หากสมาชิกในครอบครัวทุกคน ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส
ทั้งนี้ 'วัคซีนซิโนแวค' มีการใช้ อย่างแพร่หลาย อีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย, แอฟริกา และอเมริกาใต้ด้วย โดย ชิลี ได้อนุมัติให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ขณะที่ ทางบริษัทฯ เพิ่งเริ่มการทดลองทางการแพทย์เพื่อทดสอบการให้วัคซีนในเด็กในแอฟริกาใต้ อายุตั้งแต่ 6 เดือน - 17 ปี
ภาพจาก: reuters
อินเดีย เน้นฉีดวัคซีนผู้ใหญ่ก่อน
จากการประเมินขององค์การสหประชาชาติ (UNESCO) ระบุว่า อินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรเด็กและเยาวชนมากที่สุดในโลก ประมาณ 253 ล้านคน โดยข้อมูลล่าสุด จากการสำรวจขององค์กรพยาธิวิทยาแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการระบาดของโควิด-19 มีเด็กราว 60% ติดเชื้อแล้ว และน่าจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นบางส่วนจากการติดเชื้อที่ผ่านมา
เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลยาของอินเดีย ได้อนุมัติการใช้งานฉุกเฉินวัคซีนตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดย ไซดุส คาลิลา (Zydus Cadila) บริษัทยาในประเทศ ให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ถือเป็นครั้งแรกที่มีการอนุมัติฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรวัยเด็ก
โดยเด็กต้องได้รับวัคซีนนี้ ซึ่งเป็นชนิดฉีดแบบไร้เข็ม แยกกัน 3 โดส และบริษัทคาดว่าจะเริ่มการทดลองในเด็กที่อายุ 2 ขวบขึ้นไปในเร็ว ๆ นี้
ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลอินเดีย กล่าวว่า การฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12-17 ปี กลุ่มเสี่ยง ที่มีปัญหาทางสุขภาพร้ายแรง จะเริ่มขึ้นในเดือน ต.ค. และจะเริ่มฉีดให้ครอบคลุมมากขึ้น ภายหลังจากการฉีดวัคซีนให้กับประชากรผู้ใหญ่ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเสร็จสิ้นในปีนี้
ญี่ปุ่นฉีดวัคซีนเพียงแค่ 30% ของผู้ใหญ่
สำหรับประเทศ ญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือน พ.ค. วัคซีนไฟเซอร์ ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับเด็กอายุระหว่าง 12 -15 ปี แต่รัฐบาล ยังคงมุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิตร้ายแรง หากติดเชื้อ แต่ทั้งนี้ ในบางจังหวัด เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับเด็กบ้างแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ โดย ญี่ปุ่นมีเพียง 30 % ของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ เกาหลีใต้ วัคซีนไฟเซอร์ ได้รับการอนุมัติสำหรับเด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป ขณะที่โมเดอร์น่า อนุญาตสำหรับเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ เกาหลีใต้ ยังไม่มีเป้าหมายการดำเนินการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-15 ปีในปีนี้
ภาพจาก: france24
คิวบา เริ่มฉีดวัคซีนให้เด็ก 2 ขวบ
เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2564 สำนักข่าวเอเฟพี รายงานว่า คิวบา เป็นประเทศแรกในโลก ที่เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุ 2 - 11 ปี ด้วยวัคซีนที่พัฒนาขึ้นเอง แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา คิวบาเริ่มการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มแรก
รัฐบาลตั้งเป้าจะต้องฉีดวัคซีนให้แก่เด็กทุกคนในประเทศนี้ก่อน จึงจะเริ่มให้นักเรียนไปโรงเรียนได้เป็นครั้งแรก ในเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ หลังจากต้องปิดโรงเรียนทั้งประเทศ ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 โดยเริ่มเปิดเทอมวันแรก เมื่อ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเรียนผ่านโทรทัศน์
วัคซีนโควิด-19 ที่คิวบาฉีดให้กับเด็ก มี 2 ชนิด คือ 'อับดาลา (Abdala)' และ 'โซเบอรานา (Soberana)' เป็นวัคซีนโควิด 2 ชนิดแรก ที่ผลิตโดยประเทศในลาตินอเมริกา แต่ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจาก WHO โดยการใช้เทคโนโลยีตัดต่อโปรตีน ที่ผลิตออกมาจากสารพันธุกรรมของไวรัส (recombinant protein) เป็นเทคโนโลยีเดียวกับบริษัท โนวาแว็ก ของสหรัฐฯ และ ซาโนฟี่ ของฝรั่งเศส ที่ใช้ผลิตวัคซีน และยังรอการอนุมัติจาก WHO และวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ ไม่ต้องเก็บรักษาในตู้เย็นที่เย็นจัด
ทั้งหมดนี้คือ สถานการณ์การฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หลายประเทศให้ความสำคัญ เนื่องจากเด็กๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
เรียบเรียงจาก:
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage