“...ประเด็นการใช้ถุงพลาสติกสวมครอบศีรษะดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรายงานการตรวจศพ ระบุว่า สาเหตุที่ตายเนื่องจากภาวะหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว สันนิษฐานจากขาดอากาศ ดังนั้น การที่จำเลยใช้ถุงพลาสติกที่ไม่มีช่องอากาศครอบศีรษะผู้ตาย แล้วใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณลำคอผู้ตายเช่นนั้น แม้จำเลยมิได้ประสงค์จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายได้ จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว...”
..........................................................................................................
กำลังเป็นอีกกรณีฉาวที่สะเทือนไปถึงกรมปทุมวัน!
พลันที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่ง ตร. ให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หรือ ‘ผู้กำกับโจ้’ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ออกจากราชการไว้ก่อน กรณีถูกกล่าวหาว่าถูกร้องเรียนว่าได้ทำร้ายร่างกายโดยการทรมาน นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เพื่อเรียกเงินจำนวน 2 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต และถูกดำเนินคดีอาญา โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2564 มีรายงานข่าวศาลจังหวัดนครสวรรค์ อนุมัติหมายจับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ กับพวกรวม 7 ราย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เบื้องต้นตำรวจจับกุมผู้ถูกกล่าวหาได้แล้ว 4 ราย ยังเหลือหลบหนีอีก 3 ราย หนึ่งในนั้นมีชื่อของ ‘ผู้กำกับโจ้’ รวมอยู่ด้วย ขณะเดียวกันชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ปูพรมค้นบ้านของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ที่ กทม. พบรถหรูในบ้านอย่างน้อย 13 คัน ขณะที่ข้อมูลเชิงลึกพบว่าเจ้าตัวครอบครองรถยนต์อย่างน้อย 29 คัน
เงื่อนปมสำคัญในคดีนี้คือ กรณีการเอา ‘ถุงดำ’ คลุมหัวจนผู้ต้องหาคดีค้ายาเสพติดดังกล่าวเสียชีวิตถึงแก่ความตายนั้น ในแง่มุมกฎหมายมีความผิดแค่ไหน มีโทษอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องมานำเสนอเทียบเคียงกรณีดังกล่าว ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2560 เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา เป็นโจทก์ มีบุคคล 2 รายเป็นโจทก์ร่วม 1-2 ยื่นฟ้อง จำเลยที่เป็นผู้ชายรายหนึ่ง ในความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดต่อเจ้าพนักงาน
มีสาระสำคัญในคดีคือ จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงสาวรายหนึ่งจนถึงแก่ความตาย โดยมีเจตนาฆ่าใช้ถุงพลาสติกสวมครอบศีรษะและใช้เทปกาวพันทับถุงพลาสติกรัดคอผู้ตาย จนผู้ตายไม่สามารถหายใจได้ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
ประเด็นการใช้ถุงพลาสติกสวมครอบศีรษะดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรายงานการตรวจศพ ระบุว่า สาเหตุที่ตายเนื่องจากภาวะหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว สันนิษฐานจากขาดอากาศ ดังนั้น การที่จำเลยใช้ถุงพลาสติกที่ไม่มีช่องอากาศครอบศีรษะผู้ตาย แล้วใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณลำคอผู้ตายเช่นนั้น แม้จำเลยมิได้ประสงค์จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายได้ จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว
แม้ว่าชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภพว่าทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ปฏิเสธว่ามิได้เจตนาฆ่าเท่านั้น ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะสาเหตุอื่นอันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น นอกจากที่จำเลยให้การรับสารภาพ และเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ซึ่งมิได้ยกขึ้นมาว่ากันแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้ง 2 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนประเด็นจำเลยอ้างว่ากระทำผิดโดยบันดาลโทสะได้หรือไม่ เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะกันในขณะที่จำเลยขับรถยนต์มากับผู้ตาย แม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายทุบตีและถีบจำเลยจนทำให้รถยนต์เสียหลักไปชนกับขอบทางด่วน แต่สาเหตุที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยเกิดจากจำเลยหลอกลวงให้ผู้ตายไปพบเพื่อดูรถยนต์ที่จะนำมาตีใช้หนี้ให้แก่ผู้ตาย ซึ่งจำเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจำเลยใช้เข็มขลัดพลาสติกรัดสายไฟมัดมือมัดเท้า ใช้เทปปิดปากผู้ตาย และถอดเสื้อผ้าของผู้ตายออกทิ้งไปแล้ว ผู้ตายย่อมไม่อาจกระทำการอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงต่อไปได้
การที่จำเลยยังคงใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะและใช้เทปมัดถุงพลาสติกรอบคอผู้ตายจนแน่น โดยอ้างว่ายังคงได้ยินเสียงผู้ตายด่าทอและข่มขู่จะทำร้ายภริยาและบุตรของจำเลย จนทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้น ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดในขณะที่ถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามกฎหมาย ส่วนฎีกาของจำเลยประการอื่น ๆ ล้วนเป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่ทำให้คำวินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
รวมโทษจำคุกจำเลย 34 ปี 10 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 8.5 แสนบาท และโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 7.5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ .5% ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวตั้งแต่ 18 ส.ค. 2556 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้ง 2
หมายเหตุ : ภาพประกอบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ จาก https://images.topnews.co.th/
อ่านประกอบ :
- ปูพรมล่าตัว'ผกก.โจ้'! ค้นบ้านเจอรถหรูหลายร้อยล. ศาลอนุมัติหมายจับ-ตรึงกำลังเข้มชายแดน
- คำสั่ง ผบ.ตร.ให้‘ผู้กำกับโจ้’ออกจากราชการ-ใบรับรอง รพ.อ้างผู้ต้องหาตายจากพิษแอมเฟตามีน
- เปิดมุมมองกม. 'สิทธิผู้ถูกจับกุม' เทียบกรณีคลุมถุงดำรีด 2 ล. 'เถยจิต' โจร ในคราบ ตร.
- ป.ป.ช.ภาค 6 ขอเร่งรัดมติส่วนกลางไต่สวน คดี 'ผกก.โจ้' - จนท.ยักยอกเงินโควิด 12.7 ล.
- นิ้วไหนไม่ดี ต้องตัดทิ้ง! ผบ.ตร.สอบวินัย-อาญา'ผู้กำกับโจ้'จ่อให้ออกจากราชการ
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage