“...จากการไม่ดำเนินการตรวจสอบหรือไม่สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายสาธิต รังคสิริ ดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ นายศุภกิจ ริยะการ ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร ให้กับบุคคลและกลุ่มบริษัทที่ร่วมกระทำความผิดหลายครั้งโดยทุจริต และนายสาธิตฯ ได้รับผลประโยชน์โดยได้นำเงิน ที่บริษัทขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ จำนวน 179,869,250 บาท ไปซื้อทองคำแท่งนายสาธิต รังคสิริ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ ในทองคำแท่งดังกล่าว…”
.....................................................................................
ชื่อของนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กลับมาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอีกครั้ง!
พลันที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2564 จำคุก ‘ตลอดชีวิต’ แก่นายสาธิต ในคดีร่วมกันทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร มูลค่าความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท พร้อมกันนี้มีคำสั่งให้อายัดทองคำแท่งจำนวน 77 แท่ง หนัก 7,000 บาท ไว้ด้วย อย่างไรก็ดีนายสาธิต ได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป (อ่านประกอบ : ชดใช้ 3 พันล.-ยึดทอง 77 แท่ง! คุกตลอดชีวิต‘อดีตอธิบดีสรรพากร’คดีทุจริตคืนภาษี)
ไม่ใช่แค่คดีทุจริตดังกล่าวเท่านั้น ยังมีคดีร่ำรวยผิดปกติกว่า 700 ล้านบาทด้วย โดยเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ทรัพย์สินของนายสาธิตเพิ่มเติมอีกหลายรายการตกเป็นของแผ่นดิน รวมไปถึงทองคำแท่งหนัก 318 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ที่ศาลชั้นต้นยกคำขอไป ให้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว (อ่านประกอบ : ทองแท่ง 600 ล.ตกเป็นของแผ่นดิน! อุทธรณ์พิพากษาแก้‘สาธิต’ได้มาจากร่ำรวยผิดปกติ)
นี่ยังไม่นับกรณีความรับผิดทางละเมิด คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กระทรวงการคลัง มีมติให้ข้าราชการอย่างน้อย 14 ราย ชดใช้ความเสียหายกรณีดังกล่าว รวมวงเงินกว่า 4 พันล้านบาท โดยนายสาธิต นายศุภกิจ นายพายุ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวน ส่วนกรณีนายสุวัฒน์ เนื่องจากพ้นจากราชการไปก่อน กรมสรรพากรจึงยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนเช่นเดียวกัน
เพื่อให้สาธารณชนรับทราบที่มาที่ไปคดีดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เรียบเรียงให้ทราบ ดังนี้
หนึ่ง กรณีทุจริตการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
@การตรวจสอบของสำนักข่าวอิศรา
พบข้อเท็จจริงว่า ในช่วงปี 2555-2556 กรมสรรพากรได้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนในช่วงเดือน พ.ค.-ธ.ค. 2555 รวม 63 บริษัท วงเงินกว่า 4,298 ล้านบาท โดยทั้งหมดประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน (ส่งออกเศษเหล็ก) เบื้องต้นพบว่ามีอย่างน้อย 30 บริษัท ใช้ที่ตั้งในอาคารพื้นที่สีลม เขตบางรัก กทม. และเบอร์โทรศัพท์เดียวกัน โดยบุคคลที่เป็นกรรมการแต่ละบริษัททำหนังสือมอบอำนาจให้นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก หรือนายวิษณุ อสุนีย์ เป็นผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยต่อมาได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า มีอีก 33 บริษัท ในพื้นที่เขตบางคอแหลม ทุ่งครุ กทม. อ.บางบัวทอง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ
ต่อมาได้ตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กรรมการและผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ มีภูมิลำเนาตามสำเนาบัตรประชาชนในต่างจังหวัดเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะใน จ.พิจิตร ถึง 22 คน โดยจากการตรวจสอบบุคลที่เป็นกรรมการตามภูมิลำเนาใน อ.เมือง จ.พิจิตร อย่างน้อย 5 ราย ปฏิเสธไม่ทราบว่า มีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทได้อย่างไร นอกจากนี้จากการตรวจสอบที่ตั้งของบริษัทที่แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า เป็นห้องเช่าโล่ง ๆ ไม่ได้ตกแต่งเป็นสำนักงาน หรือประกอบธุรกิจแต่อย่างใด
ทั้งนี้พบบุคคลที่เกี่ยวข้อง (เฉพาะเอกชน-สำนักงานบัญชี) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มของนายวีรยุทธ แซ่หลก เจ้าของบริษัท ซีเอ็นบีซี เมทัล เทรด จำกัด ได้แก่ น.ส.สายธาร แซ่หลก นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก นายประสิทธิ์ อัญญโชติ และนายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ
2.กลุ่มผู้สอบบัญชีให้บริษัทกลุ่มนายวีรยุทธทั้งหมด ได้แก่ นายสุเทพ วุฒิพาณิชย์กุล นายวิษณุ อสุนีย์ นายบูชา คงพะเนา นายธนัช ปฏิมาวดี นายธวัชชัย ตั้งเลิศธนาทรัพย์ น.ส.สุชาดา เมฆอัคคี ซึ่งทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับสำนักงานบัญชีแห่งหนึ่ง และมีบางคนเป็นผู้ร่วมจดทะเบียนบริษัทในเครือของนายวีรยุทธด้วย
กระทั่งพบว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มข้าราชการกรมสรรพากร เนื่องจากผู้สอบบัญชีรายนี้อาจมีความเชื่อมโยงในทำธุรกิจร่วมกับนายสุวัฒน์ จารุมณีโรจน์ ข้าราชการระดับ 8 หัวหน้าทีมกำกับตรวจสอบภาษี สำนักงานสรรพากร กทม. พื้นที่ 27 และนายอุกฤษฎ์ จารุมณีโรจน์ ข้าราชการกรมสรรพากร สำนักงานสรรพากร กทม. พื้นที่ 22 (บางรัก) และนายสุวัฒน์ ยังเป็นคนจองชื่อจัดตั้งบริษัทในเครือนายวีรยุทธอย่างน้อย 1 แห่งด้วย
@การตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ
ในช่วงเวลาเดียวกับที่สำนักข่าวอิศราตรวจสอบข้อมูลและรายงานข่าวการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จกว่า 4.3 พันล้านบาทนั้น มีการเคลื่อนไหวเชิงตรวจสอบจากกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ด้วย
โดยเบื้องต้นเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2556 นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง (ขณะนั้น) ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำงานควบคู่ไปกับดีเอสไอ ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2556 คณะกรรมการสอบฯ ได้สรุปผลเบื้องต้นว่า มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 18 ราย แบ่งเป็นข้าราชการอำนวยการระดับสูง (ซี 9) จำนวน 4 ราย และข้าราชการระดับปฏิบัติงานอีกจำนวน 14 ราย แต่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อบุคคลดังกล่าว และไม่มีชื่อของนายสาธิตแต่อย่างใด
ส่วนกรมสรรพากร นายสาธิต อธิบดีกรมสรรพากร (ขณะนั้น) ลงนามย้ายนายศุภกิจ ริยะการ สรรพากร กทม. พื้นที่ 22 (บางรัก) และนายพายุ สุขสดเขียว สรรพากรพื้นที่สมุทรปราการ 2 มาช่วยราชการที่กรมสรรพากร ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2556 (วันเดียวกันกับที่คณะกรรมการสอบฯ กระทรวงการคลังแถลง) นายสาธิต ได้แถลงข่าวระบุกว้าง ๆ ว่า มีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรเกี่ยวข้องจำนวน 10 ราย แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าทั้ง 10 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือไมโดยให้เหตุผลว่าต้องรอข้อมูลการสอบสวนของดีเอสไออีกครั้ง
ต่อมาก่อนที่นายสาธิตจะพ้นจากตำแหน่งอธิบดี เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2556 กรมสรรพากร ได้ลงนามในคำสั่งย้ายข้าราชการระดับสูง 3 ราย ในพื้นที่เกิดปัญหาคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ ได้แก่ นายศุภกิจ ริยะการ ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกรม งานตรวจราชการ 1 นายพายุ สุขสดเขียว ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกรม งานตรวจราชการ 2 และนายกู้ศักดิ์ จันทราช สรรพากรพื้นที่นนทบุรี ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกรม งานตรวจราชการ 6
ขณะที่ดีเอสไอ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2556 นางศิวาพร ชื่นจิตต์ศิริ รองอธิบดีดีเอสไอ (ขณะนั้น) ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขอให้ระงับการแจ้งเลิกและเสร็จการชำระบัญชีของนิติบุคคลจำนวน 49 แห่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2556 ศาลอาญา อนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ตามข้อเสนอของดีเอสไอ จำนวน 5 ราย ได้แก่ นายวีรยุทธ แซ่หลก หรือนายธนยุทธ ดลธนโกเศศ 2.น.ส.สายธาร แซ่หลก 3.นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก 4.นายประสิทธิ์ อัญญโชติ และ 5.นายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนโดยเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใดๆโดยความเท็จโดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2556 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบย้ายนายสาธิต ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง พร้อมแต่งตั้งให้นายสุทธิชัย สังขมณี ผู้ตรวจราชการฯ เป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่แทน
ทั้งนี้ในช่วงต้นปี 2556 มีบุคคลร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด กระทั่งมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แบ่งเป็น 2 กรณีคือ กรณีทุจริตการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ 4.3 พันล้านบาท และกรณีร่ำรวยผิดปกติ โดยขอข้อมูลไปยังดีเอสไอ และกระทรวงการคลังเพื่อนำมาประกอบสำนวนการไต่สวน โดยเบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหานายสุวัฒน์ จารุมณีโรจน์ และนายศุภกิจ ริยะการ และมีการสั่งอายัดทรัพย์สินของนายสุวัฒน์ และนายศุภกิจ เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินในกรณีดังกล่าว
เมื่อปี 2558 นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. (ขณะนั้น) แถลงผลคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีดังกล่าว ‘ลอตแรก’ มีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า
1.การกระทำของนายศุภกิจ ริยะการ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร โดยได้ยุติการตรวจสภาพกิจการของบริษัทผู้ขอคืนภาษีเท็จ ไม่พิจารณาว่ามีการประกอบกิจการจริง แต่ได้พิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทเท็จดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของบริษัทที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและเพื่อประโยชน์ของนายสาธิต รังคสิริ ที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เงินที่บริษัทขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ ได้นำไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิต รังคสิริ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่งมูลค่า 179 ล้านบาท การกระทำของนายศุภกิจ ริยะการ ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายจำนวน 3,146,175,475.93 บาท (เฉพาะสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 บางรัก )
2.นายสาธิต รังคสิริ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสั่งคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เป็นอย่างดีว่า บริษัทผู้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้ง 25 บริษัท ไม่ได้เป็นผู้ส่งออกจริง ไม่มีความมั่นคง ไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่ได้ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 ที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
"จากการไม่ดำเนินการตรวจสอบหรือไม่สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายสาธิต รังคสิริ ดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ นายศุภกิจ ริยะการ ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนระเบียบแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร ให้กับบุคคลและกลุ่มบริษัทที่ร่วมกระทำความผิดหลายครั้งโดยทุจริต และนายสาธิตฯ ได้รับผลประโยชน์โดยได้นำเงิน ที่บริษัทขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้รับจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ จำนวน 179,869,250 บาท ไปซื้อทองคำแท่งนายสาธิต รังคสิริ เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ ในทองคำแท่งดังกล่าว" นายวิชา ระบุ
ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และความผิดทางอาญาเฉพาะคดีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่นายสาธิต และนายสุวัฒน์ และดำเนินการไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติควบคู่ไปด้วย หลังจากนั้นมีการชี้มูลความผิดแก่นายศุภกิจ และดำเนินการไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดว่า นายสุวัฒน์ และนายศุภกิจ ร่ำรวยผิดปกติ ทั้งในชื่อของนายศุภกิจอดีตคู่สมรส บุตร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมมูลค่า 31,754,337.38 บาท และนายสุวัฒน์ รวมมูลค่า 597,728,229 บาท
(เจ้าหน้าที่กำลังนำทองคำแท่งมูลค่ากว่า 600 ล้านบาทดังกล่าวมาตรวจนับที่สำนักงาน ป.ป.ช.)
สอง กรณีร่ำรวยผิดปกติ
ประเด็นนี้ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยแถลงเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2562 ระบุว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร และนายศุภกิจ ริยะการ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กลุ่มบริษัทที่สำแดงต่อกรมสรรพากรว่า ประกอบธุรกิจรับซื้อสินค้าจำพวกเศษโลหะ จากผู้ขายในประเทศ โดยเป็นผู้ประกอบกิจการส่งออกทั่วไปรายใหม่ เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากสำนักงานสรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 กรมสรรพากร ทั้งที่ไม่เป็นผู้ประกอบกิจการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ไม่มีสิทธินำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ขายสินค้าไม่ได้ประกอบกิจการจริง เป็นผู้ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีซื้อ อันเป็นการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ เมื่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนมากผิดปกติและปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบของกรมสรรพากร นายสาธิต รังคสิริ กลับสั่งการระงับเรื่องไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่
"ในทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เงินที่บริษัทดังกล่าวได้รับจากการคืนภาษีจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ ได้มีการโอนไปมาระหว่างบริษัทในเครือข่าย และเงินส่วนหนึ่งได้โอนเข้าบัญชีผู้บริหารบริษัท ฮั่วเช่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เพื่อซื้อทองคำแท่ง โดยระบุชื่อนายสาธิต รังคสิริ กับพวกเป็นผู้ซื้อในใบจองทองคำจากบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด จำนวน 5 ฉบับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีคำสั่งลงวันที่ 21 เมษายน 2558 ให้อายัดทองคำแท่งดังกล่าวที่มีการชำระเงินครบถ้วนแล้ว โดยมอบหมายให้ผู้บริหารบริษัท ฮั่วเช่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด เป็นผู้ครองครองดูแลหรือเก็บรักษาแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. และได้ส่งเรื่องนายสาธิต รังคสิริ ร่ำรวยผิดปกติ ไปยังสำนักตรวจสอบทรัพย์สินดำเนินการต่อไป" เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุ
คดีดังกล่าวนับเป็นกรณีที่อาจเรียกได้ว่า ‘อื้อฉาว’ ที่สุดในกรมสรรพากร ที่ลากยาวมาถึง 5 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 2555-2559 และปัจจุบันก็ยังไม่ถึงที่สุด
เพราะกลุ่ม ‘วีรยุทธ แซ่หลก’ ปัจจุบันยังคงหลบหนีหมายจับศาลอาญาในคดีดังกล่าวอยู่?
อย่างไรก็ดีคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดี จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา
หมายเหตุ : ภาพประกอบนายสาธิต จาก https://www.naewna.com/, ภาพกรมสรรพากร จาก https://www.tvpoolonline.com/
อ่านประกอบ :
ทองแท่ง 600 ล.ตกเป็นของแผ่นดิน! อุทธรณ์พิพากษาแก้‘สาธิต’ได้มาจากร่ำรวยผิดปกติ
อัยการส่งฟ้อง‘สาธิต-พวก’คดีแวต 4.3 พันล.-ศาลสั่งยึดทรัพย์‘สุวัฒน์’ 596 ล.ของแผ่นดิน
ทองปริศนา 600 ล.โผล่? เบื้องหลังคดีรวยผิดปกติ‘สาธิต’-ป.ป.ช.ส่งเก็บที่ ธปท.
ครั้งแรก! ป.ป.ช.ตรวจนับทองแท่ง 594 ล.‘สาธิต รังคสิริ’ของกลางคดีรวยผิดปกติ
อัยการส่งฟ้อง‘สาธิต-พวก’คดีแวต 4.3 พันล.-ศาลสั่งยึดทรัพย์‘สุวัฒน์’ 596 ล.ของแผ่นดิน
สั่ง‘สาธิต-อดีตซี 8-9’ชดใช้ 4 พันล.! เปิดผลสอบ กก.รับผิดทางละเมิด ก.คลังคดีคืนภาษี
พิพากษายึด 31 ล.‘อดีตซี 9’รวยผิดปกติคดีคืนภาษี-อสส.สั่งฟ้องอาญา‘สาธิต-พวก’แล้ว
ป.ป.ช.-อัยการตั้งคณะทำงานร่วมฯ ‘สาธิต-พวก’คดีทุจริตคืนภาษี ปมรวยผิดปกติไต่สวนในศาลแล้ว
EXCLUSIVE: พฤติการณ์ 32 บ.คืนภาษีเท็จในสำนวน ก.คลังก่อนสั่ง ‘สาธิต-พวก’ชดใช้ 4 พันล.
ป.ป.ช.-อัยการตั้งคณะทำงานร่วมฯ ‘สาธิต-พวก’คดีทุจริตคืนภาษี ปมรวยผิดปกติไต่สวนในศาลแล้ว
สั่ง‘สาธิต-อดีตซี 8-9’ชดใช้ 4 พันล.! เปิดผลสอบ กก.รับผิดทางละเมิด ก.คลังคดีคืนภาษี
ปิดคดีทุจริตคืนภาษี 4.3 พันล.ฟัน 6 ขรก. 28 เอกชน-4 บิ๊กรวยผิดปกติ 1.3 พันล.
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/