สปสช.ปรับระบบจ่ายเงินหนุนโครงการ “เจาะเลือดใกล้บ้าน” ลดความแออัดในโรงพยาบาล
สปสช.หนุนโครงการเจาะเลือดใกล้บ้านของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขและสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร สนับสนุนค่าบริการเจาะเลือดผู้ป่วยโรคเรื้อรังรายเก่านอกโรงพยาบาล 80 บาท/ครั้ง นำร่องระยะแรก ครบทั้ง 13 เขตพื้นที่ สปสช. เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วย ช่วยลดระยะเวลารอคอยการเจาะเลือดและลดความแออัดการบริการทางห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาล อีกทั้งยังต่อยอดเติมเต็มบริการ Telehealth/Telemedicine ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการลดความแออัดทางห้องปฏิบัติการ หรือโครงการเจาะเลือดใกล้บ้านตามนโยบายลดความแออัดในโรงพยาบาลไปเมื่อเร็วๆนี้ โดยโครงการดังกล่าวเป็นการวางระบบการเจาะเลือด การเก็บและการส่งตัวอย่างที่สถานบริการสาธารณสุข คลินิกเอกชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ใกล้บ้านก่อนนัดพบแพทย์ ทาง สปสช. ได้ทำการปรับระบบการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการ โดยนำร่องระบบการจ่ายค่าบริการเจาะเลือดและเก็บสิ่งตรวจนอกหน่วยบริการ ในอัตรา 80 บาท/ครั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการนำร่องในระยะแรก เน้นเจาะเลือดในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังรายเก่าที่มีอาการคงที่ สามารถควบคุมโรคได้ดี เป็นหลัก
นพ.จักรกริช กล่าวว่า จุดหนึ่งที่ทำให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลคือระยะเวลาในการรอคอยการเจาะเลือดและบริการทางห้องปฏิบัติการ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องดีที่กระทรวงสาธารณสุข จัดทำโครงการการเจาะเลือดใกล้บ้านที่สถานบริการสุขภาพคลินิกเอกชน หรือ รพ.สต. ก่อนพบแพทย์ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการรอคอยในโรงพยาบาลของประชาชนที่เข้ามารับบริการได้มากกว่า 2-5 ชั่วโมง ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการจัดบริการแบบ New Normal ช่วยให้การรักษาระยะห่างในขณะที่อยู่ในโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยเฉพาะโควิด-19 ได้อีกทางหนึ่งด้วย
ขณะเดียวกัน ในอนาคตอันใกล้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกหน่วยบริการยังจะเป็นส่วนเติมเต็มครั้งสำคัญให้การจัดบริการสาธารณสุขระบบทางไกล (Telehealth/Telemedicine) มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลทุกๆช่วงเวลาหนึ่ง การเจาะเลือดนอกหน่วยบริการหรือโรงพยาบาล จะช่วยเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ป่วยให้แพทย์เรียกดูข้อมูลผลการเจาะเลือดผ่านระบบออนไลน์เพื่อประกอบการตรวจรักษาหรือปรับยาให้เหมาะสมได้ จากนั้นเวลารับยาก็ยังมีโครงการส่งยาทางไปรษณีย์หรือโครงการรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน ทำให้ภาพของการจัดบริการในรูปแบบ New Normal มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคงได้รับบริการที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าการเดินทางมาโรงพยาบาลเช่นเดิม
นพ.จักรกริช กล่าวอีกว่า หน่วยตรวจเจาะเลือดและเก็บสิ่งส่งตรวจนอกหน่วยบริการ ต้องผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินมาตรฐานหน่วยบริการเก็บตัวอย่างและขนส่งตัวอย่างนอกโรงพยาบาลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และมีการเชื่อมโยงการบริการและข้อมูลสารสนเทศภายในเครือข่ายหน่วยตรวจเจาะเลือดและเก็บสิ่งส่งตรวจนอกหน่วยบริการกับ สปสช.
ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวยังอยู่ในช่วงการนำร่องในโรงพยาบาลที่มีความแออัดสูง ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ 2.โรงพยาบาลพุทธชินราช 3.สวรรค์ประชารักษ์ 4.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 5.โรงพยาบาลปทุมธานี 6.โรงพยาบาลนครปฐม 7.โรงพยาบาลสมุทรสาคร 8.โรงพยาบาลบ้านโป่ง 9.โรงพยาบาลสมุทรปราการ 10.โรงพยาบาลชลบุรี 11.โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 12.ขอนแก่น 13.อุดรธานี 14.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 15.โรงพยาบาลบุรีรัมย์ 16.โรงพยาบาลสุรินทร์ 17.สรรพสิทธิประสงค์ 18.โรงพยาบาลระนอง 19.โรงพยาบาลหาดใหญ่ และ 20.โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี และโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ดี การดำเนินการในเฟสที่ 2 จะมีการเพิ่มจำนวนหน่วยตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกหน่วยบริการให้มากขึ้นและจะดำเนินการในหน่วยบริการสังกัดอื่นต่อไป