สปสช.หารือ ปณท.ต่อยอด “จัดส่งยาทางไปรษณีย์” ช่วงโควิด-19 พร้อมขยายโครงการถึง 30 ก.ย.63
สปสช.หารือไปรษณีย์ไทยต่อยอด “โครงการจัดส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์” จัดบริการดูแลผู้ป่วยเพิ่ม หลัง 1 เดือน มี 111 รพ.จัดส่งยาทางไปรษณีย์แล้วร่วม 8 หมื่นครั้ง ส่งยาให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมากสุด 7.1 พันครั้ง รองมาเป็นผู้ป่วยเบาหวาน 4.8 พันครั้ง พร้อมขยายโครงการถึง 30 ก.ย.63 ด้าน กก.ผจก.ใหญ่ ปณท. เผย เป็นบริการร่วมดูแลผู้ป่วย อัตราเหมาจ่าย 50 บาท/พัสดุ ส่งใกล้ไกลทุกพื้นที่ ทั้งมีบริการส่งต่อเนื่องช่วงโควิด-19 พร้อมพัฒนามาตรฐานการจัดส่งยาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่ สปสช.ได้ร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ดำเนินการโครงการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ให้กับผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ดูแลผู้มีสิทธิบัตรทอง ร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมาโครงการมีการตอบรับที่ดี มีโรงพยาบาล จำนวน 398 แห่ง แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ในจำนวนนี้มีโรงพยาบาล 111 แห่ง ที่ได้จัดส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์แล้ว รวมจำนวน 27,992 ครั้ง รวมเป็นค่าจัดส่งพัสดุ จำนวน 1,399,600 บาท ส่วนข้อมูลผู้ป่วยที่รับบริการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์ เมื่อแยกตามกลุ่มโรค 10 อันดับแรก มีดังนี้ 1.โรคความดันโลหิตสูง 7,128 ครั้ง 2.โรคเบาหวาน 4,838 ครั้ง 3.โรคติดเชื้อเอชไอวี 792 ครั้ง 4.โรคหืด 743 ครั้ง 5.โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง/ถุงลมโป่งพอง 629 ครั้ง 6.ต้อหิน 446 ครั้ง 7.โรคสมาธิสั้น 357 ครั้ง 8.โรคต่อมลูกหมากโต 329 ครั้ง 9.โรคลมชัก 315 ครั้ง และ 10.โรคเบาหวาน ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 305 ครั้ง (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ค. 63)
ทั้งนี้โครงการนี้ สปสช.ได้รับความร่วมมืออันดีจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการรับส่งยาและเวชภัณฑ์จากหน่วยบริการให้ถึงมือผู้ป่วย โดยเบื้องต้น สปสช.กำหนดระยะเวลาดำเนินการเพียง 3 เดือน ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เป็นโครงการเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ด้วยเสียงตอบรับที่ดี จึงได้ขยายเวลาเพิ่มเติมไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 หรือสิ้นปีงบประมาณ 2563 นอกจากเพิ่มความสะดวกการรับบริการให้กับผู้ป่วยบัตรทองแล้ว ยังรองรับบริการผู้ป่วยในรูปแบบ New Normal ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล และอาจมีการต่อยอดโครงการนี้อีกในอนาคต
“วันนี้ สปสช.และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด หารือร่วมกัน เพื่อดูว่าจะมีแนวทางอย่างไรพัฒนาระบบการขนส่งอย่างไรให้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย นับเป็นบริการใหม่ในระบบการขนส่ง และเป็นนวัตกรรมใหม่ในการบริการผู้ป่วยที่นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ซึ่งในอนาคตอาจแบบอย่างให้กับนานาชาติได้ หากเรามีการวางระบบบริหารจัดการที่ดี อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ในช่วง 2-3 เดือน เราคงต้องมีการประเมินผลกันอีกครั้ง ” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ด้าน นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ สปสช.ในครั้งนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้มีส่วนร่วมดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยคิดค่าจัดส่งพัสดุอัตราเหมาจ่าย 50 บาท/พัสดุ ทั้งในส่วนของน้ำหนักพัสดุและระยะทางจัดส่ง ซึ่งบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีโครงข่ายจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้ผู้ป่วยได้ทุกพื้นที่ในประเทศ ไม่ว่าอยู่ในเขตเมืองหรือพื้นที่ห่างไกล และยังจัดส่งได้อย่างต่อเนื่องแม้อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม พร้อมมีระบบตอบรับเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับยาและเวชภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ในกรณีที่มีจำนวนโรงพยาบาลร่วมจัดส่งยาให้ผู้ป่วยรวมถึงขยายไปยังกลุ่มโรคเพิ่มเติม ระบบการจัดส่งของเรายังสามารถรองรับได้ และเตรียมที่จะพัฒนามาตรฐานการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเตรียมที่จะเชื่อมโยงการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังผู้ป่วยในสิทธิประกันสุขภาพอื่นด้วย ทั้งนี้ในอนาคตหากบริษัทมีการจัดส่งที่มีปริมาณมากขึ้น ในส่วนของราคาเหมาจ่ายก็อาจปรับลดได้กว่านี้ตามกลไกด้านราคา