ศธ.เปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์มทางการศึกษา ดึง Google-Microsoft หนุนใช้ระบบ Single Sign-on ครั้งแรกในไทย-เน้นพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษและดิจิทัลให้กับนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษา-พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 เรียนรู้ได้แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาได้มากขึ้น ปัจจุบัน มีผู้เรียนล็อกอินแล้วมากกว่า 450,000 ครั้ง ด้าน ปธ. TRDI เชื่อมั่นเยาวชนไทยได้รับการพัฒนาด้านการศึกษา
...............................
วันที่ 31 สิงหาคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน ‘Education Digital Disruption ปลดล็อกการศึกษาไทยด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล’ หรือการเปิดแพลตฟอร์มด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศที่เรียกว่า DEEP (Digital Education Excellence Platform)
นายณัฏฐพล กล่าวว่า มุ่งมั่นที่จะใช้ระบบการศึกษาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาทุนมนุษย์หรือ Human Capital สู่ความเป็นเลิศ โดยมุ่งเน้นให้กระบวนการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ ‘ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง’ เพื่อรองรับการปฏิรูปทางการศึกษาตามแผนงานการศึกษายกกำลังสอง โดยมี DEEP เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบูรณาการการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
DEEP ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างความเท่าเทียมของระบบการศึกษา สร้างความยืดหยุ่นในการเรียนการสอนมากขึ้น ซึ่งเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่มีหลักสูตรต่างๆ รองรับ โดยผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อเรียนตามสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาได้ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียน คุณครู และผู้บริหารสถานศึกษา ที่สำคัญจะเป็นการตอบโจทย์สมรรถนะของบุคลากรที่ภาคเอกชนหรือตลาดต้องการ โดยประชาชนทั่วไปก็สามารถเข้ามาเรียนเพื่อการ Re-Skill เพิ่มทักษะของตัวเองได้เช่นกัน เพราะ DEEP เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“เราต้องการสร้างทุนมนุษย์ ดังนั้นการศึกษามีเป้าหมายสำคัญในการที่จะสร้างให้คนไทยทุกคนประสบความสำเร็จในอาชีพที่เขาต้องการ ถ้าหากเราสามารถทำแบบนี้ได้ เราก็จะมีคนที่มีความสามารถทั่วทั้งประเทศเราต้องมาร่วมกันสร้างการศึกษายกกำลังสอง การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นเลิศในแบบฉบับของแต่ละคน เพราะถือว่าอนาคตของเด็กไทย คืออนาคตของประเทศชาติ” นายณัฎฐพลกล่าว
ทั้งนี้ Digital Education Excellence Platform หรือ DEEP เปรียบเหมือนห้องเรียนออนไลน์ที่มุ่งพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเน้นทักษะเฉพาะทางตามความต้องการของตลาด ด้วยการเสริมความรู้ตามหลักสูตรตามฐานสมรรถนะและความรู้ตามความสนใจซึ่งทุกคนสามารถเรียนรู้ได้แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลขนาดไหนก็ตาม เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาความรู้ต่างๆ ได้มากขึ้น โดยในระยะแรก DEEP เน้นพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษและทักษะด้านดิจิทัลให้กับนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตหลักสูตรชั้นนำและได้รับการยอมรับทั่วโลกด้านมาตรฐานการประเมินผล อาทิ Google, Microsoft, Cambridge Assessment English, Pearson, British Council, IC3, ICDL, Arkki และมหาวิทยาลัยในเครือราชภัฏ ในการอัพโหลดเนื้อหาขึ้นบนแพลตฟอร์ม
ด้านนายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า DEEP เป็นดิจิทัล ดิสรัปชั่น (Digital Disruption) ทางการศึกษา ที่จะช่วยปรับเปลี่ยนการบริหารงาน และการพัฒนาทรัพยากรครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา โดยด้านกระบวนการบริหารจัดการภายใน กระทรวงศึกษาธิการจะมีฐานข้อมูลของบุคลากร และเด็กนักเรียนทั้งหมดที่ครบถ้วนทันที เป็นบิ๊กดาต้า ผ่านระบบดิจิทัล จากปัจจุบันที่การบันทึกเก็บข้อมูลด้วยระบบเอกสารมากกว่า 50 เปอร์เซนต์ ทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้ทันเวลาเพื่อปรับเปลี่ยน หรือวางนโยบายเพื่อพัฒนาบุคลากรได้ โดย DEEP จะทำงานผ่าน 3 ส่วน ได้แก่ ระบบ Classroom Management, School Management และ Office Management เพื่อระบบบริหารจัดการภายในทั้งด้านงบประมาณ ครุภัณฑ์ ระบบระเบียนเด็ก ซึ่งลงทะเบียนเพียงครั้งเดียวก็สามารถดึงข้อมูลมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI กล่าวว่า การศึกษาไทยต้องปรับเปลี่ยน โดยต้องเน้นการพัฒนาทักษะใน 4 ด้าน ได้แก่ ทักษะด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) การทำงานเป็นทีม (Collaboration) และมีทักษะการสื่อสารที่ดี (Communication) หากทำได้เชื่อว่าเยาวชนไทยจะได้รับการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเยาวชนผ่านระบบดิจิทัล ดิสรัปชั่น ทำให้ตนมีความหวังต่อการพัฒนาระบบการศึกษาไทย
ด้าน Dr. Libing Wang, Senior Programme Specialist in Higher Education of Section for Educational Innovations and Skill Development (EISD), UNESCO Bangkok กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาของทุกประเทศ ซึ่งหากทุกประเทศมีเด็กและเยาวชนที่มีคุณภาพ จะส่งเสริมให้ประชากรของประเทศนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ของโรคโควิด-๑๙ ที่ผ่านมา เป็นการส่งสัญญาณเตือนคนทั่วโลก ให้เกิดตื่นตัว และเตรียมพร้อมรับการปรับเปลี่ยนแนวทางการเรียนการสอน
สำหรับการใช้งานบนแพลตฟอร์ม DEEP นั้นเป็นระบบการล็อกอินเดียว (Single Sign-on) เมื่อลงทะเบียนบน DEEP ในครั้งแรกและได้รับอีเมลจากระบบก็สามารถเข้าใช้แพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง กูเกิล ไมโครซอฟต์ผ่านแพลตฟอร์ม DEEP ได้ และในอนาคตทางกระทรวงศึกษาธิการยังได้วางแผนให้ DEEP ได้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่นอกจากจะช่วยพัฒนาองค์ความรู้ให้นักเรียนและครูในระบบแล้ว ให้นักเรียน นักศึกษาได้ทำการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองนอกห้องเรียน และนำมาวิเคราะห์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครู นอกจากนี้ DEEP ยังสามารถเก็บสถิติการเรียนการสอนในแต่ละครั้งของนักเรียนและครู โดยในปัจจุบันตั้งแต่เปิดการใช้ DEEP อย่างไม่เป็นทางการนั้นมีผู้เรียนล็อกอินแล้วกว่า 450,000 ครั้ง
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage