สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-19) ในฝรั่งเศส ดังนี้
1.สถิติวันอาทิตย์ที่ 19 เม.ย.2563 (เวลา 14.00 น.)
- ยอดผู้ป่วยติดเชื้อจากการตรวจ Test PCR จำนวน 112,606 ราย (เพิ่มขึ้น 785 ราย) และผู้ติดเชื้อที่บ้านพักคนชรา จำนวน 63,336 ราย (เพิ่มขึ้น 1,201 ราย รวมทั้งผู้ที่พบการติดเชื้อจากการตรวจ test PCR และผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อแต่มิได้ทำการตรวจ test)
- รักษาอยู่ที่ รพ. 30,610 ราย โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 890 ราย นับเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันที่มีจำนวนผู้ป่วยรักษาตัวที่ รพ. น้อยลง (29 ราย) และรักษาหายออกจาก รพ. แล้ว 36,578 ราย (เพิ่มขึ้น 595 ราย)
- อาการหนัก 5,744 ราย เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 137 ราย นับเป็นวันที่ 11 ติดต่อกันที่ยอดรวมของผู้ป่วยอาการหนักลดลงจากวันก่อนหน้า (จำนวน 89 ราย)
- เสียชีวิตที่ รพ. 12,069 ราย (เพิ่มขึ้น 227 ราย) เสียชีวิตที่บ้านพักคนชราและที่ศูนย์การแพทย์สังคม (établissements médico-sociaux) 7,649 ราย (เพิ่มขึ้น 168 ราย)
**รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 19,718 ราย (เพิ่มขึ้น 395 ราย)**
*หมายเหตุ : ทางการฝรั่งเศสใช้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากการตรวจ Test PCR เป็นตัวเลขยืนยันผู้ติดเชื้ออย่างเป็นทางการ โดยไม่รวมผู้สงสัยว่าติดเชื้อและข้อมูลจากบ้านพักคนชราเป็นยอดสะสม มิใช่การเพิ่มขึ้นใน 24 ชม.
2. เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2563 เวลา 17.30 - 19.45 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รมว.สาธารณสุข และจนท.ระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ได้บรรยายสรุปยุทธศาตร์ของฝรั่งเศสในการรับมือกับวิกฤติ covid-19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า
-วิกฤติสาธารณสุขครั้งนี้ ยังไม่สิ้นสุดถึงแม้ว่า สถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ยังมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้ทุกวันและบุคลากรทางการแพทย์ยังต้องรับภาระงานหนักในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสดังกล่าว และจะนำมาสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นเท่านั้น โดยไม่เคยมีการหยุดการผลิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจพร้อมกันทั่วโลกเช่นนี้มาก่อน ทั้งนี้ ยังไม่สามารถให้รายละเอียดถึงแผนดำเนินการภายหลังยกเลิกมาตรการห้ามออกจากที่พักในวันที่ 11 พ.ค. ได้ในวันนี้ โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม การดำเนินชีวิตหลังวันที่ 11 พ.ค.จะไม่สามารถกลับมาเหมือนก่อนหน้านี้ได้ในทันที
- ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสมีเตียงพยุงชีพผู้ป่วยอาการหนักเพียง 5,000 เตียง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เพิ่มเป็น 10,500 เตียงในปัจจุบัน และมีมาตรการห้ามออกจากที่พักเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ และเพื่อจำกัดจำนวนผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติตามมาตรการฯ เป็นอย่างดี โดยได้ลดการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เป็นอย่างมาก อาทิ ร้านค้า (-86%) ร้านขายของชำและร้านขายยา (-39%) สถานีขนส่งคมนาคมต่างๆ (-79%) และไปที่ทำงาน (-55%) ทั้งนี้ จนท. ตร. ได้ทำการตรวจสอบแบบฟอร์มขออนุญาตออกจากที่พักแล้ว 13.5 ล้านครั้งและพบผู้ฝ่าฝืนประมาณ 8 แสนครั้ง
- เมื่อวันที่ 9 เม.ย.เป็นวันที่มีผู้ป่วยอาการหนักจำนวนมากที่สุดในฝรั่งเศส คือ 7,100 ราย แต่ ณ วันนี้เหลือเพียง 5,833 ราย ซึ่งเห็นได้ว่าการลดจำนวนผู้ป่วยยังเป็นไปอย่างช้า และจะยังคงลดลงหากยังคงปฏิบัติตามมาตรการห้ามออกจากที่พักต่อไป ทั้งนี้ สามารถเห็นได้ว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ผลตามที่คาดไว้ โดยประสบความสำเร็จได้เนื่องจากมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของแคว้นต่างๆและประเทศเพื่อนบ้านของฝรั่งเศส (เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์กและออสเตรีย)โดยได้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอาการหนักจากพื้นที่ที่มีผู้ป่วยจำนวนมากทั้งหมดจำนวน 644 รายไปยังพื้นที่ที่มีผู้ป่วยอาการหนักจำนวนน้อยกว่า
- เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย รัฐบาลได้พยายามจัดหาหน้ากากประเภท ffp2 และหน้ากากอนามัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างเพียงพอ โดยก่อนเกิดวิกฤติฯ เมื่อเดือน ม.ค.ปีนี้ มีหน้ากากเพียงแค่ 117 ล้านชิ้นใน stock ของรัฐบาล ในขณะที่มีความต้องการหน้ากาก 5 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ในขณะนั้น โดยสามารถผลิตในประเทศได้ 4 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ ซึ่งต่อมามีความต้องการหน้ากากเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างน้อยถึง 45 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ รัฐบาลจึงได้เพิ่มกำลังผลิตภายในประเทศและเพิ่มการนำเข้า โดยระหว่างวันที่ 30 มี.ค. - 5 เม.ย. สามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้ 7 ล้านชิ้นและได้นำเข้า 34 ล้านชิ้น ระหว่างวันที่ 6 - 13 เม.ย. สามารถผลิตได้ 8 ล้านชิ้นและนำเข้า 63 ล้านชิ้น ระหว่างวันที่ 14 - 19 เม.ย. สามารถผลิตได้ 8 ล้านชิ้นและนำเข้า 81 ล้านชิ้น
- ได้ทำการอพยพชาวฝรั่งเศสกลับประเทศได้แล้ว 160,000 ราย จากมากกว่า 100 ประเทศโดยเที่ยวบินกว่า 1,600 เที่ยว
2.2 รมว.สาธารณสุขกล่าวถึงความท้าทายในอนาคต ได้แก่
- การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ : ปัจจุบันได้มีการจัดหาหน้ากากอนามัยและเครื่องช่วยหายใจได้เพิ่มมากขึ้นเป็นที่น่าพอใจ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่มีความเสี่ยงแล้ว ถึงแม้จะยังมีจำนวนหน้ากากประเภท ffp2 ไม่มากนักก็ตาม จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างไรก็ดี ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่เสี่ยงต่อการขาดแคลน อาทิ ชุดคลุมป้องกันการติดเชื้อ ถุงมือและยารักษาที่จำเป็นสำหรับแผนกผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งมีความต้องการยาเหล่านี้เพิ่มขึ้นทั่วโลกถึง 2,000% โดยรัฐบาลได้พยายามเจรจาขอนำเข้ายาเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นทั้งจากจีนและอินเดีย
- สถานการณ์ในบ้านพักคนขรา : ปัจจุบัน ร้อยละ 45 ของบ้านพักคนชราพบผู้ติดเชื้อไวรัสฯ อย่างน้อย 1 ราย ซึ่งรัฐบาลได้เพิ่มบุคลากรและแพทย์เชี่ยวชาญประจำบ้านพักคนชราและได้เริ่มตรวจการติดเชื้อไวรัสฯ อย่างกว้างขวางในบ้านพักคนชราเมื่อพบผู้ติดเชื้อเพียง 1 ราย โดยได้ดำเนินการตรวจการติดเชื้อแล้ว 5 หมื่นครั้ง และตั้งแต่วันพรุ่งนี้ รัฐบาลจะอนุญาตให้สามารถเข้าเยี่ยมผู้สูงวัยที่บ้านพักคนชราได้ โดยขอให้มีมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากผู้เยี่ยมและยังจำกัดจำนวนผู้เยี่ยมและห้ามมิให้มีการสัมผัสกัน นอกจากนี้ ยังได้มีมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เช่นเพิ่มการให้ความช่วยเหลือต่อผู้สูงวัยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้แต่ยังคงพักอาศัยอยู่ที่พักของตนเอง การขยายมาตรการ chômage partiel ให้ครอบคลุมถึงผู้ที่ต้องหยุดงานเพื่อดูแลบุตรและผู้ที่เสี่ยงป่วยอาการหนัก และย้ำให้ประชาชนที่มีความจำเป็นในการปรึกษาแพทย์อย่าลังเลไปปรึกษาแพทย์ด้วย
2.3 ศ. Florence Adler หัวหน้าทีม Discovery
- สิ่งที่ทราบแน่นอน (ภายใน 4 เดือน) ได้แก่ โครงสร้างของไวรัสฯ /ID ของไวรัสฯ /สิ่งที่ไวรัสเกาะติดได้ในเซลส์มนุษย์/อาการป่วย/พัฒนาการของอาการป่วย/ พัฒนาการของภูมิคุ้มกัน
- สิ่งที่ยังไม่ทราบ ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย/ ผู้ใดจะมีอาการหนัก/ เหตุที่เด็กไม่ค่อยมีอาการป่วยจากเชื้อไวรัสนี้/ ภูมิคุ้มกันสามารถป้องกันการติดเชื้ออีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่
- การทดสอบยารักษาภายใต้โครงการ Discovery เป็นการนำยาต้านไวรัสในกรณีอื่นๆมาทดลอง ดังนั้นจึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่ายาเหล่านี้อาจไม่สามารถรักษาอาการให้หายได้อย่างฉับพลันเนื่องจากไม่ได้ถูกคิดค้นมาเพื่อรักษาไวรัสนี้โดยเฉพาะ
- เมื่อทำความรู้จักกับไวรัสนี้ได้ดีมากขึ้นแล้วลำดับต่อไปจะเป็นการคิดค้นยารักษาไวรัส covid-19 โดยเฉพาะและวัคซีนป้องกันซึ่งสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันระยะยาวได้
2.4 นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจว่า ปัจจุบันฝรั่งเศสอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่ปี ค.ศ 1945 และจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบร้อยละ 8 ในปี 2563
โดยในช่วงของการบังคับใช้มาตรการห้ามออกจากที่พักมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 36 กิจกรรมภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 43 กิจกรรมก่อสร้างลดลงร้อยละ 88 และกิจกรรมเกี่ยวกับการบริการให้ที่พักและร้านอาหารลดลงร้อยละ 90 ซึ่งประเทศอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันทั่วโลก โดยรัฐบาลมีมาตรการหลัก ๆ เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจดังกล่าว ดังต่อไปนี้
-มีผู้อยู่ภายใต้มาตรการพักงานโดยยังได้รับเงินเดือนอยู่ (chômage partiel) ถึง 9 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณ 2.4 หมื่นล้านยูโร
-รัฐบาลได้รับประกันเงินกู้ให้แก่บริษัทแล้วจำนวน 130,000 ราย คิดเป็นเงินมากกว่า 1.8 หมื่นล้านยูโร ภายใน งปม. ทั้งหมด 3 แสนล้านยูโร และ
- มีบริษัทรายเล็กและผู้ประกอบการอิสระขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนเงินช่วยเหลือ (fonds de solidarité) แล้วถึง 1 ล้านราย คิดเป็นเงิน 7 พันล้านยูโร (บ. ประกันช่วยสนับสนุน 400 ล้านยูโร และแคว้นต่าง ๆ ช่วยสนับสนุน 500 ล้านยูโร)
2.5 รมว.สาธารณสุขกล่าวถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือทางสังคมว่าได้แก่ การขยายระยะเวลาสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือต่าง ๆ อาทิ เงินช่วยเหลือการว่างงานและเงินช่วยเหลือผู้พิการ นอกจากนี้ ยังได้มีเงินช่วยเหลือพิเศษสำหรับครอบครัว 4 ล้านครอบครัวในวันที่ 15 พ.ค.และได้เพิ่มจำนวนที่พักในศูนย์ช่วยเหลือทางสังคมมากกว่า 17,000 ที่ เป็นต้น
2.6 นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงหลักการของการผ่อนคลายมาตรการห้ามออกจากที่พักซึ่งได้ตั้งเป้าหมายไว้ในวันที่ 11 พ.ค.2563 ว่า การตัดสินใจดำเนินการของรัฐบาลจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการเพื่อรักษาสุขภาพของประชาชนและเพื่อให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ ได้แก่ (1) การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสให้ได้มากที่สุด และ (2) รักษาความสามารถของ รพ. ในการรับรักษาผู้ป่วย ปัจจุบัน มาตรการห้ามออกจากที่พักทำให้สามารถลดการแพร่เชื้อของผู้ติดเชื้อไวรัสได้แล้ว เหลือเพียง 1 ต่อ 0.6 ราย กล่าวคือ ผู้ป่วย 10 ราย สามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้อีกแค่ 6 ราย
และโดยที่ไวรัส covid-19 จะยังคงแพร่ระบาดอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่งเนื่องจากยังไม่มีประชาชนจำนวนมากพอที่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้ ขณะที่วัคซีนจะยังไม่พร้อมจนกว่ากลางปี 2564 และยังไม่มียารักษาที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งที่สามารถทำได้จึงเหลือเพียงการป้องกันการติดเชื้อไวรัส ได้แก่ การเคารพแนวปฏิบัติทางสาธารณสุขตามแนวทางที่ผ่านมา การตรวจการติดเชื้อและการแยกตัวผู้ติดเชื้อไวรัส
2.7 รมว.สาธารณสุขกล่าวถึงแนวปฏิบัติทางสาธารณสุข ได้แก่ การหมั่นล้างมือปืนประจำ การไอ/จามในข้อศอกหรือในกระดาษทิชชู่ใช้แล้วทิ้ง/ห้ามจับมือ/รักษาระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร/และการสวมหน้ากากป้องกันละอองน้ำลาย โดยปัจจุบันมีบริษัทประมาณ 100 แห่งได้เริ่มผลิตหน้ากากเหล่านี้แล้ว ซึ่งสามารถซักล้างทำความสะอาดได้ และคาดว่าจะสามารถผลิตหน้ากากประเภทนี้ได้ 17 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ภายในวันที่ 11 พ.ค.และจะมีการนำเข้าเพิ่มเติมอีกหลายสิบล้านชิ้นด้วย
และได้กล่าวถึงการตรวจการติดเชื้อว่า ปัจจุบันมีการตรวจการติดเชื้อ (Test PCR) แล้ว 150,000 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีเป้าหมายให้สามารถทำการตรวจได้ถึง 5 แสนครั้งต่อสัปดาห์ภายในวันที่ 11 พ.ค.ซึ่งจะทำให้บุคคลที่มีอาการป่วยสามารถได้รับการตรวจการติดเชื้อได้อย่างทั่วถึง และสำหรับการตรวจหาภูมิคุ้มกัน นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประเมินประสิทธิภาพโดยจะเป็นการตรวจเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากมีประชาชนถึงร้อยละ 90 ที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัส covid 19
นอกจากนี้ จะมี จนท. ติดตาม identify ผู้ที่อาจติดเชื้อได้ และใช้เทคโนโลยีช่วยการ contact tracing (stop covid) โดยสมัครใจและอย่างนิรนาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเสริมเรื่องการแยกตัวผู้ป่วยว่า หากตรวจพบว่าติดเชื้อ จะสามารถเลือกที่จะกักตัวที่ที่พักพร้อมกับครอบครัวทั้งหมด หรือกักตัวเพียงลำพังที่ รร. (จัดหาให้โดยรัฐบาล)
สำหรับแนวปฏิบัติหลังวันที่ 11 พ.ค. ของบุคคลกลุ่มเสี่ยงป่วยอาการหนักนั้น ยังคงแนะนำให้กลุ่มดังกล่าวกักตัวที่ที่พักต่อไปหากสามารถกระทำได้โดยเป็นความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
2.8 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะต้องหามาตรการป้องกันการแพร่ระบาด (หลังยกเลิกมาตรการห้ามออกจากที่พัก) โดยเฉพาะ
-ในระบบการขนส่งมวลชน โดยอาจมีการบังคับให้สวมหน้ากาก
- ให้คงทำงานจากที่พักต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- รักษาระยะห่างระหว่างกันในร้านค้าต่างๆ ที่จะเปิดให้บริการ รวมทั้งการจัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค
- การเปิดสถานศึกษาจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะนำเสนอแผนดำเนินการสำหรับหลังวันที่ 11 พ.ค.ได้ในช่วงปลายเดือน เม.ย.โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีนาย Jean Castex เป็นหัวหน้าในการจัดเตรียมแผน จากนั้นจะเสนอรัฐสภาในช่วงต้นเดือน พ.ค. เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้ภายในวันที่ 11 พ.ค.2563
3. นายกเทศมนตรีกรุงปารีสให้สัมภาษณ์ นสพ. Le Journal du Dimanche เมื่อวันที่ 19 เม.ย. เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมหลังยกเลิกมาตรการห้ามออกจากที่พักในกรุงปารีส สรุปดังนี้
- จะเริ่มแจกหน้ากากจำนวน 5 แสนชิ้นให้แก่ชาวปารีสในช่วงปลายเดือน เม.ย. ตามร้านขายยาต่าง ๆ โดยเป็นหน้ากากผ้า ซึ่งได้มาตรฐานและสามารถซักทำความสะอาดได้ และคาดว่าจะสามารถแจกจ่ายให้แก่ชาวปารีสทุกคน (หน้ากาก 2 ล้านชิ้น) ภายในกลางเดือน พ.ค. (คิดเป็น งบประมาณ 3 ล้านยูโร) ทั้งนี้ ในช่วงแรกจะแจกจ่ายให้แก่กลุ่มเสี่ยงป่วยอาการหนักก่อน (ผู้มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและสตรีมีครรภ์)
- เห็นว่าควรมีการบังคับให้สวมหน้ากากระหว่างการใช้บริการระบบขนส่งมวลชน ซึ่งกรุงปารีสกำลังพิจารณาจัดเลนชั่วคราวสำหรับจักรยานเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานมากขึ้นและลดความแออัดในระบบขนส่งมวลชนด้วย รวมทั้งควรสนับสนุนให้มีการทำงานจากที่พักต่อไปเท่าที่สามารถทำได้ นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการตรวจการติดเชื้อ covid-19 อย่างกว้างขวาง
- ต่อคำถามเกี่ยวกับการทยอยเปิดสถานศึกษา นายกเทศมนตรีฯ เห็นว่าควรจัดลำดับความสำคัญให้ นร. บางกลุ่มได้กลับเข้าเรียนที่สถานศึกษาก่อนกลุ่มอื่น ๆ อาทิ นร. ที่มีปัญหาในการเรียนทางไกล และ นร. ที่ผู้ปกครองมีความจำเป็นต้องกลับไปทำงานซึ่งเป็นงานสำคัญต่อการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจหรือการบริการสาธารณะที่จำเป็น
- นอกจากนั้น เทศบาลกรุงปารีสได้แถลงว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2563 ได้ตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัส covid-19ในระบบน้ำประปาที่ไม่สามารถดื่มได้ (eau non potable) ซึ่งใช้ทำความสะอาดถนนในตัวอย่างน้ำ 4 จุด จากที่ได้ทำการตรวจสอบทั้งหมด 27 จุด แต่มีไวรัสในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ดี ได้ระงับการจ่ายน้ำประปาที่ไม่สามารถดื่มได้ในทันทีแล้ว และย้ำว่า ระบบท่อของน้ำประปาที่สามารถดื่มได้ (eau potable) เป็นระบบที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับน้ำประปาที่ไม่สามารถดื่มได้ ซึ่งทำการตรวจสอบแล้วไม่พบเชื้อไวรัส covid-19 จึงยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย