สปสช.เตรียมออกประกาศ เปิดช่อง รพ. ดึงงบค่าเสื่อมปรับปรุงพื้นที่ จัดซื้อครุภัณฑ์ อุปกรณ์และเครื่องมืแพทย์ รับมือผู้ป่วย COVID-19 ขณะที่ ครม.อนุมัติงบกลาง 3.26 พันล้านแล้ว หนุนกองทุนบัตรทองรับมือ COVID-19 เตรียมเสนอ บอร์ด สปสช.เร่งจัดสรรกระจายงบให้ รพ.โดยเร็ว
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “กองทุนบัตรทอง” เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลในการดูแลประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นอกจากงบประมาณสนับสนุนการบริการ จำนวน 4,280 ล้านบาท ที่ครอบคลุมทั้งการตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์การป้องกันโรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (ชุด PPE) โดยเป็นเงินจากรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสม กองทุนบัตรทอง จำนวน 1,020 ล้านบาท และงบกลางเพิ่มเติมจากรัฐบาล จำนวน 3,260 ล้านบาทแล้ว ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ยังได้เห็นชอบเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้หน่วยบริการนำงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์สำหรับซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์มาใช้ในการปรับปรุงพื้นที่ภายในหน่วยบริการเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ได้ โดยกำหนดเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ ที่ออกตามคำสั่ง คสช.ที่ 37/2559 ข้อ 23(3)
“ขณะนี้ สปสช.อยู่ระหว่างการออกประกาศหลักเกณฑ์การใช้งบดังกล่าวตามมติดังกล่าว หลังจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามเรียบร้อยแล้ว โรงพยาบาลสามารถนำงบดังกล่าวเพื่อใช้ปรับปรุงพื้นที่และจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อรับมือการแพร่ระบาด COVID-19 ได้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้างบกลางที่ สปสช.ขอเพิ่มเติมจากรัฐบาลนั้น ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVIC-19 ตามที่หน่วยงานต่างๆ ได้นำเสนอ รวมถึงในส่วนของ สปสช. จำนวน 3,260 ล้านบาท โดยครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ทั้งค่าการตรวจคัดกรองและวินิจฉัย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ค่ายารักษา ค่าห้องควบคุม ค่าอุปกรณ์และชุดป้องกันของบุคลากรทางการแพทย์ (ชุด PPE) โดย สปสช.จะดำเนินการจัดสรรเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกระจายให้กับโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์